Universal Studio Singapore หรือที่เรียกกันว่า USS เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิต อีกสถานที่หนึ่ง ที่คนที่มาเที่ยวสิงคโปร์ มักจะผ่านมาเยี่ยมเยียน และเล่นเครื่องเล่นที่สวนสนุกแห่งนี้
วันนี้เราตื่นตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า และยังชีพกันด้วยมาม่าที่พกมาจากเมืองไทย เพราะเหตุที่ว่าไม่รู้จะไปแวะกินอาหารเช้าที่ไหน ตาม Guide Book ส่วนมากร้านอาหารเปิด 9 โมงกันทั้งนั้น แต่เราออก 8 โมงเพราะไม่อยากเสียเวลา ถึงแม้ว่าจุดหมายที่เราไปอย่าง Universal Studio Singapore จะเปิด 10 โมงก็เถอะ
เราออกตัวจากโรงแรม Fort Canning Lodge ไปยังสถานี Dhoby Ghaut สิ่งที่พบก็คือ มีร้านขนมปังเริ่มเปิดแล้ว และ Food Court บางร้านก็ทยอยเปิดแล้ว เนื่องจากมาม่า ไม่อิ่มเท่าไรพวกเราเลยซื้อขนมปังกินด้วยครับ ขนมปังที่นี่ราคาไม่แพง ถ้าเทียบกับอาหารอย่างอื่นแล้ว ราคาเท่าร้านขนมปังในเมืองไทยเลย แต่ไม่อยากกินมากเพราะจะอ้วนและขับถ่ายไม่ค่อยดี
แล้วเราก็เดินทางไปยังสถานี Harbour Front ครับ ที่สถานีนี้ จะอยู่ติดกับห้าง Vivo City เลย เราสามารถเดินทะลุเข้าไปในห้างนี้ เพื่อต่อ Sentosa Express ไปยังเกาะ Sentosa ได้ แต่เราไม่เลือกทางนั้นครับ เพราะเรายังมีเวลาเหลืออยู่อีกมาก เราเลือกเดินข้ามเกาะ โดยใช้เส้นทาง Broadwalk เอาดีกว่า ประหยัดไป 4 SGD เชียวล่ะ จริงๆแล้ว มีอีกเส้นทางที่ข้ามไปยังเกาะ Sentosa ได้ ก็คือ การนั่งกระเช้า หรือ Cable นั่นเอง แต่ราคามหาโหดเชียวล่ะ ตั้ง 29 SGD แน่ะ
อุปสรรคในการเดินข้ามเกาะเพียงอย่างเดียวก็คือ แดดร้อนมาก แต่ก็ยังดีที่เค้ามีทำทางเดินในร่มให้ ตอนที่เราเดินขึ้น Broadwalk แล้ว เดินไปชิวไปถ่ายรูปไปบ้างแต่ก็ร้อนมากทีเดียว พอเดินใกล้ถึงเกาะ จำได้ว่าตามที่หาข้อมูลมาต้องเสียค่าเข้าเกาะ คนละ 1 SGD แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด วันที่ไป ทางเกาะเปิดให้เข้าฟรีเลย
เดินมาตรงทางเข้าก็จะมีเคาท์เตอร์จำหน่ายตั๋ว แต่เราก็ไม่ต้องไปซื้อแล้ว เพราะไปซื้อจาก Sea Wheel Travel มาแล้ว เราเดินตรงดิ่งไปยัง Universal Studio เลยทีเดียว จะได้ไปเล่นก่อน วันที่เราไปเป็นวันศุกร์ ไม่น่าเชื่อว่า คนเยอะมากจริงๆ มีหลายเชื้อชาติมาก ทั้งคนจีน คนญี่ปุ่น รัสเซีย อเมริกา และอื่นๆอีกมากมาย คนไทยก็เยอะนะเออ
พูดถึงตั๋วเข้า Universal Studio กันหน่อย ตั๋วที่เราซื้อเป็น ตั๋ว 1 Day Pass เล่นได้ทุกอย่างใน 1 วัน แต่จะมีตั๋วพิเศษอีกตั๋วหนึ่งก็คือ Express Pass ตั๋วนี้ไว้ใช้ในกรณีที่เครื่องเล่นคนเยอะๆ เราจะสามารถเข้าคิวพิเศษเพื่อให้เล่นได้เร็วขึ้นได้ แต่ไม่ต้องรีบซื้อครับ ด้านในก็มีขายตั๋วประเภท Express Pass
Hollywood
เป็นโซนทางเข้าของ Universal Studio เสียมากกว่า โซนนี้เน้นร้านค้า และของที่ระลึก แล้วก็ Street Show
New York
โซนถัดมาทางขวา ต่อจาก Hollywood เริ่มมีเครื่องเล่นสำหรับเด็กอย่าง Sesame Street Spaghetti Space Chase แล้วก็ยังเป็นการแสดง Street Show อยู่
Sci-Fi City
การผจญภัยของเราเริ่มที่นี่ครับ ที่นี่ มีของเล่นสุดโหดที่สุดใน Universal Studio อยู่นั่นก็คือ Battlestar Galactica : HUMAN & CYCLONE พักไว้ก่อนนะครับเดี๋ยวจะมาเล่าต่อ และเครื่องเล่นสุดฮิตอีกอันหนึ่งก็คือ Transformer the Ride
ทีแรก เราจะเล่นเจ้า Transformer The Ride ก่อน เพราะเห็น Recommendation ค่อนข้างมาก ทั้งจาก Guidebook และ Internet แต่พอเข้าไปถามที่คิวจริงๆ ให้รอ 45 นาที พวกเราจึงเดินออกไปเล่นอย่างอื่นก่อน ก็มาเจอเจ้า CYCLONE รถไฟเหาะ ตีลังกา Track สีฟ้า เน้นย้ำครับตีลังกาจริงๆ ทั้งแนวดิ่งและทวิสเลย เวลารอก็คือ 10 นาทีครับ เราเลยตัดสินใจเลือกเล่นสิ่งนี้ครับ ก่อนที่จะเล่น ต้องฝากของทั้งตัวไว้ที่ Locker ที่เค้าจัดเตรียมไว้ให้ครับ ฝากได้ฟรี 45 นาที เป็นระบบอัตโนมัติ ตอนฝากกรุณาหยิบแบงค์ติดมือมาด้วยนะครับ เผื่อเกินเวลา บรรยากาศตอนเข้าไปใน CYCLONE เป็นบรรยากาศเอเลี่ยน เหมือนกับยานอวกาศของเอเลี่ยนยังไงยังงั้นเลย เนื้อเรื่องก็คือ เอเลี่ยนกำลังจะไปต่อสู้กับมนุษยชาตินั่นเอง บรรยากาศในยานเอเลี่ยน ชวนสยองมาก เพิ่มความเสียวเข้าไปอีกระดับ
พอขึ้นไปถึง ไอ้ที่ Show เวลารอ 10 นาทีนี่มันไม่ใช่ครับ มันกลายเป็น 2 นาทีซะงั้น พวกเราเลยไม่มีเวลาทำใจเลยกันเลยทีเดียว ก่อนเข้าไปเล่น ก็มีวีดีโอเปิดเขย่าขวัญเพิ่มความกลัวให้ดูว่า รถไฟนี้ วิ่งเร็ว มีเร่ง มีดร็อป อย่างรวดเร็ว มีเหวี่ยง และมีตีลังกา ดูยังไม่ทันจบ ถึงคิวแล้วครับ ผมนี่ใจหายวาบเลย แต่ขึ้นหลังเสือมาแล้วครับ ตอนนี้คิดจะลงก็ลงไม่ได้แล้ว ต้องเดินหน้าอย่างเดียว คิวก่อนหน้าผม เป็นเด็กผู้หญิงต่างชาติ ตัวเล็กๆ เค้ายังไม่ร้องไห้เลย เอาก็เอาวะ !!!
พอขึ้นแล้ว เจ้าหน้าที่ก็จะมาตรวจสอบอุปกรณ์นิรภัย และดันให้แน่นที่สุด จำเป็นต้องแน่นเพราะคิดว่ามันเหวี่ยงมากครับ เอาล่ะครับได้เวลาออกตัวแล้ว เจ้าหน้าที่ปล่อยยานยกนิ้วโป้ง แล้วคนที่ตรวจสอบความปลอดภัยก็ยกนิ้วโป้งตอบ โอ้ม่ายยย มันมาแล้ว
ยานค่อยๆออกวิ่งไปตามราง ค่อยๆไต่ระดับขึ้นไปได้สักสามเมตร ยังไม่ถึงจุดสุดยอด จากนั้นเครื่องก็กระตุก แล้วก็ติดเทอร์โบพุ่งปรื้ด ทะยานขึ้นไปเลย ผมคิดในใจว่า ตายแน่ๆกรูแค่ตอนขึ้นก็เร่งความเร็วขนาดนี้แล้ว ยังกับจะให้ยานอวกาศหลุดออกจากวงโคจร ไปนอกโลก จากนั้นเราก็เริ่มแหกปากทันที พอถึงจุดสูงสุด และปล่อยลงมา ไม่ต้องคิดอะไรแล้วครับ แหกปากอย่างเดียว การแหกปากเป็นการลดความกลัว ลดความเครียดวิธีหนึ่ง ผมเชื่อว่าอย่างนั้น
พอทิ้งดิ่งไปเท่านั้นแหล่ะครับ เริ่มจากการเหวี่ยงซ้ายขวาแบบ 90 องศาก่อนแล้วค่อย ทวิสแบบ 360 องศาคือตีลังกาหมุนๆแบบเกลียวเลย ลองนึกถึงภาพไส้กรอกย่างที่หมุนอยู่บนเตาย่าง ใน 7-Eleven ดูก็ได้ครับ หมุนแบบนั้นแหล่ะครับ เท่านั้นยังไม่พอ ตีลังกาเสร็จดิ่งต่อไปแล้วก็เหินขึ้นมาด้วยความเร็วสูง เหินขึ้นมาธรรมดาไม่ว่า เหินแล้วกลับหัวขึ้นมาเป็นรถไฟหงายท้องเลย ช่วงเวลานี้ผมจำได้แม่นยำ มันเหมือนกับว่า ตัวเรากำลังหลุดลอยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า อันกว้างใหญ่ไพศาล รู้สึกแปลกแต่จริง เหมือนได้หายใจในช่วงเวลานี้ หายใจได้แค่เสี้ยววินาทีจากนั้น เราก็กลับหัวดิ่งลงไปตามแนวดิ่งต่อ นับเป็นการดิ่งที่รุนแรงที่สุดเพราะเป็นการดิ่งในแนวตั้งแบบกลับหัวลงมา เสียววาบแบบคิดว่า จะรอดมั้ยเนี่ยชีวิต และก็มีการเซอไพรส์ เมื่อดิ่งลงไปแล้วเค้าจะเตรียม Dry Ice ไว้ให้เป็นควันๆ ดิ่งลงมาก็มองไม่เห็นก้นเห็นแต่ควัน จุดนี้ผมว่าทำได้ดีมากทีเดียว แล้วจากนั้น ก็พุ่งขึ้นมาจากพื้นดิน เป็นอันจบการเล่นของเครื่องเล่นที่ชื่อว่า Cyclone นี้
พอลงไปแล้ว ยืนไม่ตรงเลยครับ มีอาการเซบ้างนิดหน่อย แต่อย่างเพื่อนผมบางคนก็เวียนหัว จะอ๊วกเลยก็มี เวลาเวียนหัวคลื่นไส้แบบนี้แล้วจะรู้สึกไม่สบายไปทั้งวัน บางคนฟื้นตัวได้ไม่เป็นไรก็ถือว่าโชคดีไป แต่ถ้าให้แนะนำ ก็คิดว่าควรมาเล่นเป็นอันสุดท้ายครับ ถึงแม้ว่าอาจจะต้องรอนานกว่า แต่ดีกว่า ไม่สบายตัวไปทั้งวัน
ต่อมาครับ ไหนๆก็ฝากกระเป๋าแล้ว เราก็ไปต่อ HUMAN ต่อ ความแตกต่างก็คือ เจ้า CYCLONE จะเป็นที่นั่งแบบที่จับยึดรางอยู่บนหัวเรา ส่วน HUMAN เหมือนรถรางวิ่งไปตามรางมากกว่า และ HUMAN ไม่มีตีลังกาอีกด้วย เราจึงมั่นใจว่า รอดแน่ๆ การต่อคิวขึ้น HUMAN ใช้เวลารอนานกว่านิดหน่อย แต่คิวข้างหลังผมนี่สิ ผมคิดว่าอายุ 50+ ได้มาเล่นอันนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ มีป้ายเตือนอยู่ตลอดทางว่า ผู้สูงอายุ ผู้มีสุขภาพไม่ดี หรือมีโรคหัวใจไม่ควรเล่นครับ บรรยากาศในนี้เหมือนฐานทัพของมนุษย์ครับ ที่จะทำการต่อสู้กับพวกเอเลี่ยน หรือ Cyclone นั่นเอง แค่ฟังคำว่า จะ Defeat Cyclone ก็สยองแล้วครับ มันจะโหดกว่าไหมเนี่ย
ถึงคิวเราสักที ความกลัวลดลงกว่าตอนที่เข้าไปใน Cyclone ก็จริง แต่ก็ยังไม่วายมีเรื่องเซอไพรส์ ก็คือ ได้นั่งที่หัวขบวนเลยซะงั้น ได้เวลาเสียวกันอีกแล้วสินะ หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตรวจเช็คอุปกรณ์ต่างๆ เสร็จ ให้สัญญาณมือบอกว่า โอเค เจ้าหน้าที่เริ่มปล่อยรถไฟ ของ HUMAN นี้ก็เหมือนกันครับ เร่งความเร็วให้พุ่งทยาน ยังกับจะปล่อยจรวดไปดาวอังคาร แต่ทีเด็ดของ HUMAN ก็คือ ความเร็ว และความรุนแรงในการพุ่ง และการดิ่งนี่แหล่ะครับ ดิ่งลงมาได้รวดเร็วมาก ต้องใช้วิชาแหกปากไปตามระเบียบ แต่ก็ไม่มีอะไรให้กลัวมากแล้ว เพราะเราผ่านจุดที่น่ากลัวสูงสุดอย่าง Cyclone มาแล้ว ของ Human ไม่มีตีลังกา อย่างมากก็แค่ เอียง เฉียดๆ 90 องศาเท่านั้น ถึงแม้ว่าจะเสียว แต่ก็ไม่เท่า Cyclone แน่นอน แต่เรื่องความแรงและความเร็ว อันนี้มากกว่า Cyclone แน่ๆ
ตอนลงมาก็รู้สึกเวียนหัวนิดๆ เหมือนกัน เพื่อนบางคนถึงขนาดเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เวียนยังไม่หายจาก Cyclone มาเจอ Human ต่อ ต้องพักกันเลยทีเดียว เราไปเอาของออกจาก Locker แน่นอนว่า ไม่เกิน 45 นาที ไม่เสียเงิน แล้วเราก็จำเป็นต้องพักการเล่นไว้ก่อน ผมเลยได้โอกาศเดินถ่ายรูปในบริเวณ Sci-Fi City
ผมเพิ่งมารู้ทีหลังว่า เจ้า Battlestar Galactica : Cyclone เป็นรถไฟเหาะ ประเภทตีลังกา ที่สูงที่สุดในโลกแล้ว ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ เกิดมาเพิ่งเคยขึ้นรถไฟเหาะ แบบตีลังกาได้ก็ที่นี่แหล่ะครับ
พอเพื่อนพักหายเหนื่อย ซื้อน้ำหวานกินกันเรียบร้อย น้ำแพงมากครับในนี้ 3.5 – 6 SGD ถ้าเป็นขวด เป็นแก้วนี้ 10+ SGD แต่ก็มีน้ำเปล่าให้เติมอยู่เรื่อยๆนะ เราก็พยายามไปดูที่ Transformer the Ride ต่อ แต่ใช้เวลารอ 50 นาทีขึ้นไป เลยตัดสินใจว่ายังไม่เล่นครับ
บริเวณนี้จะมี Optimus Prime ให้ถ่ายรูปด้วย ส่วนเจ้า Bumble Bee จะอยู่บนหลังคา แล้วก็มีรถ Bumble Bee ให้ถ่ายรูปด้านล่างเช่นกัน
Ancient Egypt
โซนนี้เป็นโซนของ อียิปต์ โดยเฉพาะเลย เครื่องเล่นหลักก็คือ Revenge of the Mummy แต่ก็มีเครื่องเล่นสำหรับเด็กด้วยชื่อว่า Trasure Hunter เป็นรถคุณปู่วิ่งไปตามราง เจอกับแมลงอียิปต์ และขุมทรัพย์ต่างๆมากมาย เราอยากจะเข้าไปเล่นใน Revenge of the Mummy กันครับ แต่ด้วยเวลารอที่ขึ้นมาว่า 45 นาทีเราจึงไปโซนถัดไปก่อนครับ
The Lost World
โซนนี้เป็นโซนหลักของ Jurassic Park และการแสดง The Water World นอกจากนั้นยังมีเครื่องเล่นสำหรับเด็กอย่าง Dino-Soarin เป็นเครื่องเล่น ขี่นกยักษ์ แล้วก็หมุนๆ กับอีกอย่างนึงคือ Canopy Flyer เป็นคล้ายๆรถราง ขึ้นทีละสองคน บินอยู่เหนือโซน The Lost World
เนื่องจากอากาศร้อนมาก และอาการจะอ๊วกของเพื่อนเรายังไม่หายดี เราเลยตัดสินในเล่นเครื่องเล่นเบาๆกันก่อน นั่นก็คือ Jurassic Park Rapids Adventure ดูแล้วเป็นคล้ายๆล่องแก่ง ไม่น่าจะโหดมาก เล่นอยู่ในน้ำน่าจะเย็นๆสบายๆ
ตอนเราเข้าไปถึงคิวแล้วก็พบว่า ระยะเวลารอประมาณ 30 นาที ก็เลยตัดสินใจรอที่นี่ เดินเข้าคิวไปสักพัก มีป้ายเตือนว่า คุณอาจจะเปียกได้ ทีนี้ล่ะไม่รู้ทำอย่างไร ตอนเข้ามาแอบเห็น Locker ฝากของอยู่แต่เห็นบางคนไม่ฝาก ก็เลยเดินตามเข้ามา แต่เค้าพกทั้งเสื้อกันฝน ทั้งถุงกันน้ำกันมา เราเลยเอาไงดีฟระเนี่ย แล้วก็เดินมาถึงจุดนึง จุดที่เค้าขายอุปกรณ์กันน้ำในคิว แบบเป็นตู้หยอดเหรียญ ทีแรกคิดว่าจะซื้อครับ แต่ก็บังเอิญจริงๆที่เจอถุงพลาสติกอยู่ในกระเป๋าที่เอามาด้วย เลยใช้ถุงนั้นใส่กล้องไป แล้วก็ถอดแบตออกไว้ จริงๆกระเป๋าเราก็กันน้ำอยู่แล้วด้วยระดับนึง และโทรศัพท์ก็ไม่น่าห่วงมาก เพราะตามโฆษณาบอกว่ากันน้ำได้ เราเลยไม่ได้ซื้อ แต่แนะนำให้ฝากของไว้ที่ Locker ดีกว่าครับ เพราะเดี๋ยวจะโดนบังคับซื้อได้
เมื่อถึงคิวเราแล้วเราก็เตรียมขึ้นครับ ที่นั่งจะมีทั้งหมด 9 ที่นั่ง โดยแบ่งเป็นแบบติดกัน 3 ที่ สามด้านเป็นสามเหลี่ยม นั่งตรงกลางเปียกน้อยสุดแน่ๆ เพราะไม่มีรูให้น้ำไหลเข้า ผมเลยเอาของไปฝากไว้กับเพื่อนที่นั่งตรงกลาง วางบนเก้าอี้นั่นแหล่ะ
แล้วก็เป็นไปตามคาด ล่องเบามากกกก ไม่มีความตื่นเต้นเท่าไร มีฉากล่องไพร เจอไดโนเสาร์ แล้วก็เข้าไปในโกดังเจอพวก แรปเตอร์ ทีเด็ดที่สุดก็คือเจอ ไทแรนโนเซารัสตัวใหญ่อยู่ข้างบนหัว แล้วประตูโกดังก็เปิด ทำให้ตัวล่องแก่ง ไสลด์ลงมา แต่ไม่แรงมาก น้ำก็เข้ามาตามรู ระหว่างที่นั่งตามที่คาดการณ์เอาไว้ แต่โดนฝั่งเดียวครับ ฝั่งที่ผมนั่งบังเอิญไม่โดน ถือว่าโชคดีไป
พอออกมาก็จะมีตู้เป่าแห้งให้หยอดเหรียญด้วยครับ แต่เราก็ไม่หยอดนะ เพราะว่าอากาศมันร้อนแป๊บเดียวก็แห้งแล้ว ออกมาแล้วก็ขอไปเข้าห้องน้ำก่อน เพราะตอนรอคิว รอนานมาก บอกว่า 30 นาที แต่ไม่ใช่นะ ประมาณ 45 นาทีโน่นล่ะ
เสร็จแล้วก็ได้เวลาการแสดงที่ The Water World เราก็รีบเดินไปดูกัน บริเวณที่นั่งบนอัฒจันทร์ จุคนได้เยอะมาก เป็นพันแน่นอน เราก็เลือกนั่งโซนกลางๆ เวรกรรม มีเสาบัง แต่การแสดงจะเริ่มแล้ว ไม่ย้ายก็ได้ฟระ
ก่อนการแสดงเริ่มเจ้าหน้าที่จะมีการ เอนเตอร์เทนคนดูก่อน ถ้าไม่อยากเปียกแนะนำให้นั่ง ที่นั่งด้านบนนะครับไม่งั้นนี่ มีทั้งฉีด ทั้งสาดน้ำขึ้นมาเลย
และแล้วการแสดงก็เริ่ม โดยเริ่มจากนักแสดงหญิงที่เป็นนางเอก วิ่งมาบอกพวกว่า แย่แล้ว เรากำลังจะโดนบุก หลังจากนั้นพวกผู้ร้ายที่เป็นเหล่า Jetski Rider ก็เข้ามา มีฉากเล่น Jetski สาดน้ำ แล้วก็มีการยิงกันโป้งป้าง สิ่งของในฉากระเบิดบ้าง มีไฟลุกบ้าง คล้ายกลับ Stunt Man Show ที่เมืองไทยเมื่อหลายๆปีก่อน พอฉากไล่ล่าบนพื้นน้ำเสร็จ วายร้ายตัวใหญ่ก็เข้าฉากมา โดยเรือของวายร้าย ผมขอเรียกว่า ไอ้โล้นแล้วกัน ไอ้โล้นนี่ ปิดตาข้างเดียว และแต่งตัวเหมือนกับ กัปตันโจรสลัด ยังไงยังงั้นเลย พอไอ้โล้นเข้ามา ฝ่ายตัวเอกก็โดนจัดการไปทีละคนๆ บางคนก็โดนโยนลงบ่อน้ำกรดก็มี บางคนก็โดนยิงตายก็มี ทีนี้ก็ถึงคิวนางเอกแล้วครับ ต่อยตีบู๊อยู่นาน ถูกจับครับ ไอ้โล้นอยากได้นางเอกเป็นเมีย เลยจับนางเอกขังไว้
เสร็จแล้วก็มีเสียงบอกว่า “เฮ้ย!! นั่น อะไรวะ !!” พระเอกขี่ Jetski ดำน้ำโผล่ขึ้นมาครับ เป็นฉากที่เรียกเสียงฮือฮาได้พอสมควรเลยทีเดียว หลังจากนั้น จะเป็นฉากไล่ล่าโดยใช้ Jetski แต่คราวนี้ พระเอกมาเหนือมาก มีฉากกระโดด ข้ามท่าเรือ มีฉาก Splash น้ำใส่คนดูด้วย ทางตัวร้ายก็ไล่ยิงพระเอก ไปเรื่อยๆ พระเอกก็ขึ้นฝั่งมาสู้กับตัวร้าย แล้วบู๊กันไปมาสักพักนึง ก็ช่วยนางเอกออกมาได้ แล้วก็บู๊กับไอ้โล้นต่อ ทีนี้แหล่ะครับทีเด็ด ไอ้โล้นถือบาซูก้ามา แล้วมันก็ยิงจริงๆ ตู้มต้ามไปหมดทั้งเวทีเลย ฝ่ายพระเอกก็ยิงตอบโต้ครับ ทีนี้ไอ้โล้นเห็นท่าไม่ดี ทำท่าเรียกพวกมา ให้เซอไพร์สคนดูอีกครั้ง เรียกเครื่องบินกระโดดออกมาจากหลังฉาก แล้วก็มายิงพวกพระเอก พระเอกด้วยความแมน บอกนางเอกว่ารอที่นี่นะ เดี๋ยวจะไปจัดการไอ้โล้น บู๊กันได้อยู่สักพักบนสะพานสูง
พระเอกกำลังจะเสียท่าครับ ฉากนี้คือ Climax ของเรื่องนี้แล้วครับ นางเอกหยิบบาซูก้าจากกองอาวุธมา ยิงขึ้นไปใส่ไอ้โล้นเลย ทำได้สุดยอดมากเลยครับ บาซูก้าที่ยิงไป โดนที่ตัวไอ้โล้นแล้วเกิดประกายไฟ ตัวไอ้โล้นก็ไฟลุกพรึ่บทันที แล้วไอ้โล้นก็ยืนร้องอยู่ตรงนั้นครับ “ม่ายยยย!! ข้าต้องไม่ตายยยย!!!” แล้วก็ทิ้งตัวดิ่งลงน้ำไป ความสงบสุขจึงกลับมาอีกครั้งหนึ่ง พระเอกนางเอกกอดกันฟินอินเลิฟเลยทีเดียว แต่ไม่มีจูบนะ
แล้วนักแสดงทุกคนก็ออกมาขอบคุณที่เรามาดูกัน เป็นอันจบการแสดง แนะนำว่าให้ไปดูอย่างมาก นอกจากความอลังการของฉาก ความสุดยอดของ Special Effect แล้ว นักแสดงที่คัดเลือกมา ก็มีอินเนอร์ในบทนั้นจริงๆ แบบจริงจังมาก พระเอกก็หล่อ หุ่นดูเป็นพระเอก นางเอกก็สวยดูแล้วเป็นนางเอกจริงๆ ต้องไม่พลาดครับสำหรับการแสดงสุดยอดอันนี้ เสียดายเมื่อครั้งที่ไป USJ ที่ญี่ปุ่นไปดูไม่ทัน แต่โชคดีที่ได้มาดูที่ USS Singapore
ตอนนี้เราเริ่มหิวกันแล้วครับ ตอนแรกว่าจะไปกิน Pizza ครับ แต่พอเจอราคาไปต่อถาด 60 SGD+ กินไม่ลงเลยครับ แพงมากเกินกว่างบประมาณที่มี แต่ก็ยังดีออกมาแล้วมาเจอ มาเจอ Booth Prata Dog หรือ พายไส้กรอกนั่นเองราคานับว่าไม่แพงนัก เมื่อเทียบกับปริมาณและของอย่างอื่นแล้ว ราคา 6 SGD พอกินเข้าไปจริงๆก็รู้สึกอิ่มนะ แต่ไม่รู้เป็นเพราะอิทธิพลของ Cyclone & Human เมื่อเช้าหรือเปล่าที่ทำให้เรากินไม่ค่อยลงด้วยหรือเปล่านะ
Ancient Egypt (ต่อ)
กินอิ่มแล้วก็กลับไปที่ Ancient Egypt เพื่อรอเล่น Revenge of the Mummy ก่อนเข้ามีป้ายบอกให้ฝากของเช่นเดีวกันครับ บรรยากาศภายใน ตกแต่งเป็นเหมือนกับเราอยู่ใน พีระมิดโบราณ ใจกลางพีระมิดเป็นตัวอะนูบิสขนาดใหญ่ สวยงามเลยทีเดียว ตามทางเดินก็จะมีการเล่าเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับการคืนชีพของ อิมโฮเทป ตามท้องเรื่อง The Mummy Return เลยก็ว่าได้
ก่อนขึ้นได้มีการแจ้งเตือนว่า เครื่องเล่นนี้เป็นเครื่องเล่นแบบ Roller Coaster มีขึ้น มีลงด้วยความเร็วสูงด้วย ในใจก็หวั่นๆ อยู่นิดหน่อย แต่ก็ไม่หวั่นมากเพราะเราได้ลุยกับ Cyclone ไปแล้วอย่างมากก็คงระดับ Human ล่ะนะ แต่ที่ดูจากอุปกรณ์ Safety แล้ว ไม่น่าจะรุนแรงขนาด Human ด้วยซ้ำไปเราก็อุ่นใจละ จินตนาการไปต่างๆ นาๆ เพราะว่าว่างจัด คิวรอนานอยู่
พอถึงคิวเรา ได้นั่งหน้าสุดอีกแล้วครับ ฮือๆ แปลกดีจริงๆ แต่ก็น่าสนุกดี พอเข้าไปเหมือนนั่งรถเข้าไปใน พีระมิด ก็จะมีอิมโฮเทปมาขู่นิดหน่อย จากนั้น ก็มีลูกน้อง อิมโฮเทปลุกฮือขึ้นมาครับ พร้อมกับจุดไฟ ร้อนวูบกันเลยทีเดียว ทีนี้ก็มาถึงตอนที่สนุกแล้วล่ะครับ รถเริ่มวิ่ง แต่เอาล่ะสิ วิ่งไปชนกำแพง ทีแรกผมคิดว่า กำแพงจะเปิดเอกแล้วรถไถลลงไป แต่ที่ไหนได้ หยุดหน้ากำแพง แล้วภาพแมลง สยดสยองเหมือนเรื่องมัมมี่เป็นพันๆตัวก็โผล่ขึ้นมา ถึงจะรู้ว่ามันไม่จริงแต่ก็ยังรู้สึกสยองไม่หาย พอแมลงผุดขึ้นมาเยอะเข้า แมลงมันก็เตรียมพุ่งมาจู่โจมเรา ในจังหว่ะนั้น รถวิ่งถอยหลังกระชากอย่างเร็วครับ ตกใจไม่น้อยเลยทีเดียว หลังจากนั้นรถก็กลับตัว หันไปด้านหน้าแล้วเริ่มวิ่ง เข้าไปในปาก อิมโฮเทป แบบมืดๆ ผมนี่ทำใจเลยครับ Roller Coaster มาแล้ว
ด้านใน Roller Coaster จะมีการเปิดไฟแว็บๆ ตามความเร็วรถ ทำให้เราเห็นเหมือนเป็นดวงวิญญาณที่ถูก อิมโฮเทปกินเข้าไป รถวิ่งเร็วเหวี่ยงซ้ายขวาก็จริงอยู่ แต่ก็ไม่ได้เสียวมากไปกว่า Human แน่นอน วิ่งไม่นานก็จบครับ เป็นอันสิ้นสุดการเล่น Revenge of The Mummy เครื่องเล่นแบบนี้ผมเทียบกับ อินเดียน่าโจนส์ที่ Disney Sea ได้ แต่ถ้าเทียบกันแล้ว อินเดียน่าโจนส์ สมจริง ในแง่ Effect และการผจญภัย ทำให้เรารู้สึกเหมือนลงทุนมากกว่า Revenge of the Mummy
ออกจาก Revenge of The Mummy แล้วเราก็ไปอาณาจักร Far Far Away กันต่อ
Far Far Away
โซนนี้มีเครื่องเล่นอยู่หลายอย่างครับ ตั้งแต่ต้นถั่วยักษ์ของ Puss In Boots เป็นรถไฟเหาะเบาๆ ผจญภัยในโลก Puss In Boots แล้วก็มี Shrek 4-D Adventure อันนี้เด็กเล่นได้ นอกจากนั้นยังมีเครื่องเล่นสำหรับเด็ก อย่าง Magic Potion Spin เป็นหมุนๆ แล้วก็ Enhanced Air Way เป็นรถไฟเหาะขนาดเล็ก บินรอบอาณาจักร Far Far Away
ทีแรกผมก็ไปที่ปราสาทอันใหญ่ที่อยู่ตรงกลางเลย นึกว่าจะให้เข้าชมปราสาทได้ แต่ปรากฎว่า เป็น เครื่องเล่นของ Shrek 4-D Adventure นั่นเอง เข้าไปก็จะเป็นโรงละคร เราต้องยืนฟังเรื่องย่อๆของ Shrek ก่อน แล้วจึงเปิดประตูให้เข้าไปนั่งเตรียมพบกับหนัง 4 มิติ เค้าจะให้หยิบแว่นสามมิติคนละอันครับ ตรงนี้กรุณาเช็ดแว่นก่อนครับ เพราะบางอันมัวมาก
เข้าไปนั่งก็จะคล้ายๆโรงละคร แต่พอหนังฉาย มีอะไรสะเทือนเก้าอี้เราก็จะสะเทือนด้วย โดยเฉพาะฉากขี่ม้านี่ ยังกับไปควบม้าเองเลยก็ว่าได้ ทีนี้พอถึงฉากบิน ก็จะมีลมโกรก เหมือนเราบินอยู่ยังไงยังงั้น แต่ทีเด็ดก็คงหนีไม่พ้นฉากที่มีการพ่นน้ำ หรือน้ำกระเซ็น ก็มีน้ำออกมาจริงๆ เด็กเล็กมากไม่ควรมาเล่นนะครับ เพราะมันมืด เหมือนโรงหนัง ตอนเล่น ผมเองก็ได้ยินเด็กร้องไห้ด้วย
หลังจากออกมาเสร็จ ว่าจะไปขึ้นถั่วยักษ์ซะหน่อย แต่เขียนว่ารอคิว 40 นาทีเลยไม่เอาดีกว่า ไปโซนถัดไปกันเลย
Madacascar
โซนนี้เป็นโซนเด็กน้อยจริงๆ เครื่องเล่นนี้รอไม่นานได้เข้าเลย ขึ้นป้าย 5 นาทีตลอด เครื่องหลักจะเป็น Madacascar : A Crate Adventure จะให้เรานั่งเรือชมเนื้อเรื่อง Madacascar ไปเรื่อยๆ ไม่มีความตื่นเต้นเลยครับ แต่มีตอนก่อนจบ เจ้าม้าลายมีพ่นน้ำใส่นิดนึงเท่านั้นเอง และเครื่องเล่นอีกอันนึงอันนี้สำหรับเด็กเลยคือ King Julien’s Beach Party Go Round เป็นเครื่องเล่นประเภทม้าหมุน ถ้าผมจำไม่ผิดนะ จำได้ว่าของเด็กๆเลยเดินผ่านไป
แล้วเราก็วนกลับมาที่ Transformer the Ride : The Ultimate 3D Battle คราวนี้เวลารอลดลงเหลือ 30 นาที เราเลยตัดสินใจรอเล่นกัน ภายในทางเข้า จะมีบรรยายเนื้อเรื่อง ซึ่งก็คือ ทางรัฐบาลโลกได้ให้เรานำ AllSpark หนีไปยังที่ปลอดภัย โดยไปกับ Autobot ที่ชื่อว่า Evac ซึ่ง Evac จะแปลงเป็นรถให้เรานั่ง แล้วก็วิ่งไปตามแผนที่วางไว้ ที่รถ Evac เอง มีการติดอาวุธพร้อมรบ ด้วยเช่นกัน
เมื่อใกล้ถึงคิวเรา มีประชากรชาวต่างชาติอยู่กลุ่มหนึ่ง หกคน เริ่มมีการถกเถียงกัน ผมฟังไม่ค่อยออกครับว่าเค้าบอกว่าอะไร แต่เค้าแยกกลุ่มกันครับ กลุ่มหนึ่งเดินย้อนออกไป ไม่เล่นเฉยเลย ผมก็คิดอยู่ในใจแล้วว่ากลุ่มนี้ ไม่มีความกระตือรือร้นอยากเล่นเลย แถวขยับก็ไม่เดินตาม ต้องคอยสะกิดอยู่ตลอด แต่เอาเป็นว่าก็ดีเหมือนกัน ถึงคิวเราเร็วขึ้นอีกนึดหนึ่ง
ก่อนขึ้นก็จะได้รับแว่นตา สามมิติ คนละอัน พอขึ้นไปก็จะเป็นรถครับ วิ่งหมุนไปมา พร้อมกับมีจอสามมิติ 360 องศา ด้านในจะเป็นฉากที่ Optimus Prime กำลังสู้กับ Megatron นั่นเอง สู้กันอย่างดุเดือดเลือดพล่านเลยทีเดียว รถ Evac ของเราหกคะเมนตีลังกาหลายรอบ มีระเบิดปลิวมาอีก เป็นสามมิติชัดเจน แต่ก็ไม่ได้คว่ำจริงนะ เป็นภาพหน้าเราเท่านั้นที่คว่ำ สบายใจได้ แล้วที่เด็ดสุดก็คือ ฉากร่วงตกตึก โอโห ทำเหมือนตกจริง ทั้งลม ทั้งองศาการเอียง พร้อมกับภาพสามมิติไหลๆ ก่อน Megatron จะเสียท่า มีฉากระเบิดด้วย ทั้งเศษระเบิดกระเด็น แล้วก็มีความร้อนออกมาจริงๆ อีกต่างหาก สุดยอดเลยจริงๆ สนุกมากเครื่องเล่นนี้ แล้วก็ไม่เครียดมากด้วย คือไม่ต้องแหกปากร้องมากเหมือน Cyclone สุดโหดแต่หัววัน
เล่นอันนี้เสร็จก็เริ่มหิวข้าวอีกแล้วครับ คราวนี้เราเดินไปหา Food Court กินกัน Food Court ตั้งอยู่ที่ The Lost World ส่วนตัวผมสั่งกิน Laksa ครับอาหารพื้นบ้านของ สิงคโปร์ เป็นเหมือน ขนมจีนน้ำยา แต่ใส่นมแทนกระทิ แล้วก็ใส่กุ้ง เต้าหู้ ถั่วงอก และลูกชิ้นปลา รสชาติก็พอโอเค แต่ผมก็ไม่สันทัดอาหารแนวนี้เท่าไร
เคล็ดลับการเที่ยว Universal Studio Singapore
จากที่เราเจอมาด้วยประสบการณ์ของเราเอง อย่างแรกเราพบว่าของฮิตๆจะเริ่มว่างตอนเย็นๆ อย่างเช่น Transformer the Ride นี่ตอน ห้าโมงก็คิวน้อยมากแล้ว ยิ่ง Revenge of The Mummy ไม่มีคิวเลย แต่กลับกันของที่โหดสุดอย่าง Cyclone กับ Human กลับคนเยอะมากตอนเย็นๆ สงสัยคนเล่นอย่างอื่นก่อนแล้วค่อยมาเล่นอันนี้
อย่างที่สองคือ น้ำแพง หฤโหด เอาไปเองดีกว่าแล้วเติมเอา มีจุดเติมอยู่หน้าห้องน้ำเกือบทุกจุด ถ้าอยากกินน้ำหวานจริงๆ ให้ซื้อเป็นขวดจะถูกกว่าเป็นแก้วประมาณ 3 เท่าเลยทีเดียว
Wonderful Light
นี่ก็เวลา 18.30 แล้วครับ เดี๋ยวเราต้องออกไปเที่ยวที่ต่อไปแล้ว เราก็เดินออกจาก Universal Studio แล้วก็เดินข้าม Broadwalk กลับไปที่ Vivo City เหมือนเดิม แต่เราตัดสินใจกันว่า จะกลับไปอาบน้ำที่ห้องก่อนเพราะว่า เหงื่อออกทั้งวัน เหนียวตัวมาก สิงคโปร์ นี่แดดร้อนจริงจังมากทีเดียว
พอกลับไปถึงห้องอาบน้ำเสร็จ เราก็มีการเปลี่ยนแผนนิดหน่อย จากเดิมจะไป Singapore Flyer ก่อน แต่เห็นว่า การแสดง Wonderful Light รอบแรกกำลังจะเริ่ม เราจึงรีบวิ่งกันไปขึ้น MRT สถานี Bayfront กันเลย ออกมาก็ไปตามหาลานการแสดงอีกหน่อย แต่โชคดีที่อยู่ไม่ไกล เลยมาทันเวลาพอดี เพลงขึ้นพอดีเลย ถึงจะต้องยืนดูก็เถอะ เพราะคนอื่นเค้าจองที่นั่งกันไปหมดแล้ว
การแสดง เป็นการแสดงม่านน้ำ น้ำพุ เสียงดนตรี และแสงเลเซอร์ เป็นการฉายถึงเรื่องราวของคนในวัยต่างๆ ตั้งแต่เกิดจนตาย เป็นการแสดงที่ดีมาก แถมยังฟรีอีกด้วย บริเวณการแสดงอยู่ที่ หน้า Marina Bay Sands ฝั่งริมน้ำเลย ดูจบก็ถ่ายรูปริมน้ำกันสักพัก เพราะว่าริมน้ำแห่งนี้ มีวิวที่ผมคิดว่า สวยที่สุดในสิงคโปร์ยามค่ำคืนแล้ว
Singapore Flyer
เดินจาก Marina Bay Sands มาถึงสิงคโปร์ฟลายเออร์ ไม่ใกล้เลยนะครับ แต่ก็จำเป็นต้องเดิน เพราะไม่รู้จะนั่งรถอะไรไปด้วย ใต้ Singapore Flyer มี Food Court อยู่ด้วย ที่จริงก็ว่าจะกินแต่ว่าดันมีแผนเที่ยวต่อซะอีก การขึ้น Singapore Flyer ต้องไปขึ้นด้านบนครับ เมื่อเข้าไปแล้วจะพบนิทรรศการเล็กๆ ให้เราได้ชมกัน แล้วก็ออกมาเป็นทางขึ้น ชิงช้าสวรรค์เลย
ชิงช้าสวรรค์ที่นี่ ไม่ได้เล็กๆ นะครับ หนึ่งตู้ จุคนได้เป็นสิบๆ คนดูแล้วมั่นคงมาก แต่โชคดีที่พนักงานจัดให้กลุ่มเราไปกันแค่ 6 คน เจอคนไทยบนนั้นด้วย ก็เลยแลกเปลี่ยนกันถ่ายรูปนิดหน่อย รอบหนึ่งของ Singapore Flyer ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ได้ กิจกรรมก็ไม่มีอะไรมากนอกจากถ่ายภาพอยู่ด้านบน
นอกจากตู้ปกติแล้ว ยังมีตู้พิเศษ สำหรับร้องเพลงหรือทานอาหารด้วยครับ น่าจะต้องซื้อบัตรพิเศษเพื่อทานอาหารบน Singapore Flyer แล้วเราก็ลงมาจากชิงช้าสวรรค์สุดล้ำนี้ โดยส่วนตัวผมชอบนะ กับการชมวิวบนที่สูงแบบนี้ แต่จริงๆแล้วมันมีอีกที่หนึ่งที่สูงกว่าอีกเยอะ นั่นคือ Marina Bay Sands Sky Park ซึ่งเราไม่ได้ไป คงต้องไว้ทริปหน้า ตอนนี้ที่ๆเราจะไปแก้ตัวจากเมื่อวานก็คือ…
Merlion Park
Merlion เรามองเห็นแต่ไกล คิดว่า ทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราเลยเดินจาก Singapore Flyer ไปดูกัน ต้องบอกว่า ไกลมากอีกแล้วครับ แต่เอาเป็นว่า เห็นอยู่หลัดๆ เดินยังไงก็คงถึงล่ะน่า พอไปถึง เค้ากำลังถอดบางส่วนอยู่ ยังถอดไม่เสร็จ แต่ก็พอถ่ายรูปได้บ้าง คนก็มาถ่ายรูปกันเยอะมาก ไม่รู้มาจากไหน ทั้งๆที่ เกือบจะ 4 ทุ่มกันแล้ว ที่ Merlion Park จะมี Merlion สองตัว ตัวใหญ่พ่นน้ำออกไปทางอ่าวสิงค์โปร์ อีกตัวจะเป็นตัวเล็ก พ่นน้ำอยู่บริเวณด้านหลังตัวใหญ่เลยไปหน่อยนึง เหมือนเป็นลูก Merlion ก็ว่าได้
ใกล้จะจบภาระกิจวันนี้ ก็เกิดอาการหิวขึ้นมาอีกครั้ง เวลาเกือบห้าทุ่มแล้วครับ ร้านที่เราเข้าไปพักพิงในค่ำคืนนี้ ก็คือ … McDonale นั่นเองครับ ราคาของ McDonale ที่นี่เท่ากับเมืองไทย เลยทำให้เราสั่งได้แบบว่าไม่รู้สึกว่าแพงกว่าที่ไทย ที่สำคัญกว่านั้นคือ มีเมนูให้เลือกหลากหลายกว่า อย่าง เฟรนซ์ฟราย มีให้เลือกเพิ่มเงินเป็นแบบเกลียวปรุงรสก็มี แล้ว Mc Fish ก็สามารถเลือกปลาได้ว่า เป็น Nacho Fish หรือ Filet-o-fish ได้ด้วย
หลังจากนั้นเราก็ไปขึ้นรถไฟฟ้าที่สถานี Raffles Place เพื่อกลับไปยังโรงแรม Fort Canning Lodge กันครับ วันนี้ก็เท้าพองอีกแล้วครับแต่ก็ยังดีที่เดินไหว เพื่อไปผจญภัยในที่ๆเราอยากไป คาดว่าพรุ่งนี้น่าจะสบายกว่านี้ (ล่ะมั้ง) โปรดติดตามตอนต่อไป (Day3 ~ Museum & Sentosa)
เที่ยวสิงคโปร์ ซีรีย์นี้มีทั้งหมด 4 ตอนนะครับ เขียนจบเรียบร้อยแล้วตาม Link ด้านล่างนี้เลยครับ
[…] ติดตามตอนต่อไปได้ใน Day 2 ~ Super Fun at the Universal St… […]