หน้าแรก เที่ยวสิงคโปร์ ตะลุยสิงคโปร์ เที่ยวสิงคโปร์ Day3 ~ Museum & Sentosa

เที่ยวสิงคโปร์ Day3 ~ Museum & Sentosa

2
เที่ยวสิงคโปร์ Day3 ~ Museum & Sentosa

เที่ยวสิงคโปร์ เช้านี้ประวัติศาสตร์จะต้องไม่ซ้ำ เราจะต้องเปลี่ยนแปลง ด้วยการไม่กินมาม่า!! ค่ำคืนที่ผ่านมา เรากลับไปนั่งคิดกันว่า วันที่เหลือเราจะกินอะไรกันดี คิดจนดึกดื่นกันเลยทีเดียว ตัวเลือกของเราวันนี้ครับ ไม่ ร้าน Yumcha ก็ร้าน Takpo แห่ง Chinatown ครับ ทีแรก เรากะจะไปกิน Yumcha เพราะใน Guide Book บอกว่า ร้านสุดหรูกว่า แต่พอไปถึงแปดโมงกว่า ร้านยังไม่เปิด เราจึงไปที่ร้าน Takpo แทน ทั้งสองร้านอยู่ใน Chinatown และอยู่ห่างกันไม่มากนัก

singapore museum and sentosa

Takpo – Chinatown

เรามาถึงร้าน Takpo แล้วก็โชคดีที่มีโต๊ะว่างอยู่ เราเริ่มจากการสั่งโจ๊กคนละถ้วยมากินก่อน แล้วก็สั่งติ่มซำตาม โจ๊กที่ผมสั่งจะเป็นโจ๊กรวมมิตรหมู ใส่ทุกสิ่งทุกอย่างอย่างไส้หมู ตับหมู เป็นต้น แล้วก็เริ่มสั่ง ติ่มซำ แต่ก่อนสั่งสังเกตุเห็นบางรายการมีรูปยกนิ้ว เราเลยต้องคัดเลือกมาลองกัน รายการที่เราสั่งก็จะมี

  • ซาลาเปาครีมลาวา – Recommended Menu
  • ไก่เห็ดหอม
  • ฮะเก๋ากุ้ง
  • ขนมจีบหมู
  • เค้กฟองน้ำ (Sponge Premium Cake)
  • ทาร์ตไข่

Singapore Takpo Food

เรามาเริ่มบรรยายความอร่อยกันก่อนเลยดีกว่า เริ่มจากอาหารจานหลักอย่างโจ๊กกันก่อน โจ๊กนี่ตอนเสริฟท์มาก็เฉยๆนะ เหมือนโจ๊กธรรมดา แต่พอเขี่ยไปเท่านั้นแหล่ะครับ รู้สึกถึงความเข้มข้น รู้สึกถึงเนื้อโจ๊ก และปริมาณเครื่องตั้งแต่ เนื้อหมู กระเพาะหมู ไส้หมู ตับหมู เยอะจริงๆ แต่ที่เซอไพร์สที่สุดนี่ก็คือตับหมูครับ มัน Medium Rare มาในชามเลย ยังเห็นเลือดซิบๆอยู่เลย ผมนี่ต้องหมกตับไว้ด้านล่างโจ๊กแช่ไว้ก่อนเลย เพื่อให้มันสุกกว่านี้

Singapore Takpo Congee

ทีนี้ก็ได้ไวลาชิมครับ รสชาติที่เสิร์ฟมามีการปรุงมาอย่างดีแล้ว มีรสเค็มอยู่แบบไม่ต้องปรุง ประกอบกับหมูที่ต้มมาอย่างดี ต้มด้วยเวลากำลังพอดี ทำให้นิ่มกำลังดี เครื่องในก็มีการล้างมาอย่างพิถีพิถัน ทำให้ไม่มีกลิ่นเหม็น แต่ตับ Medium Rare ไม่เคยกินจริงๆ ตอนกินเข้าไปก็รู้สึกว่ามันนิ่ม แต่ยังไม่ถึงขั้นละลายในปาก เพราะมันกึ่งสุกมาอยู่แล้ว เคี้ยวไปนิดหน่อยก็ได้รสชาติหวานของตับ ตัวตับขาดออกจากกัน เคี้ยวบดโดยไม่ติดเส้นเอ็น ตักไปกี่คำก็เจอแต่เครื่องที่ผสมมาในโจ๊ก กินแล้วก็อิ่มมากจริงๆ นี่ยังไม่รวมกับติ่มซำที่สั่งมา และชานมที่สั่งมาด้วยก็อิ่มซะแล้ว

Singapore Takpo Dimsum

รายการต่อไป ก็ต้องเป็นไก่ตุ๋นเห็ดหอมครับ รายการนี้ จะว่าธรรมดาก็ธรรมดา แต่จากสภาพไก่ที่มาเสิร์ฟ ไก่ถูกตุ๋นมานิ่มมาก รวมกับกลิ่นหอมที่มาจากการตุ๋นเห็ดหอม กินเข้าไปก็รู้สึกว่า รายการนี้ก็ไม่ธรรมดา แต่ผมก็ยังรู้สึกว่า มันจืดเกินไป สำหรับผมนะ

ฮะเก๋ากับขนมจีบที่สั่งมา ถ้าเลือกได้อย่างใดอย่างหนึ่ง ผมขอเลือก ฮะเก๋าดีกว่า เพราะฮะเก๋าที่นี่ กุ้งอัดแน่น เป็นตัวเลยทีเดียว ส่วนขนมจีบก็เป็นขนมจีบแบบทั่วไป หากินได้ในเมืองไทย แต่ขาดไปอย่างนึงคือ ร้านนี้ ไม่มีจิ๊กโฉ่วนะ เลยต้องจิ้มซีอิ้วแทนซะเลย ก็แปลกไปอีกอย่าง

ทาร์ตไข่ ทำได้ดี ความมันน้อยกว่า KFC หรือร้าน Kanom ที่เมืองไทย รสชาติหวานไม่มาก กำลังดี แต่ไม่มีให้เลือกว่า ไข่ขาวหรือไข่แดง รสชาติกลมกล่อมดีมากเลยทีเดียว

เค้กฟองน้ำจะเหมือนขนมสาลี่ แต่เนื้อนิ่มกว่า เพราะว่ามีฟองอากาศระหว่างเนื้อแป้ง รสชาติกำลังดีไม่หวานมากไป เสียดายที่กินตอนอิ่มแล้ว ชิ้นนึงดูเหมือนน้อย แต่กินแล้วเยอะมากจริงๆ

ซาลาเปาไส้ครีมลาวา รายการนี้ เนื้อแป้งไม่ได้นิ่มเท่าไร แต่ไส้นี่สิครับ ไม่รู้ทำด้วยอะไร มันมีรสชาติเค็มปนหวาน แล้วก็มีความหยาบเล็กน้อยกำลังพอดี กินเข้าไปแล้วก็อร่อยอยากกินอีก ไส้สีเหลืองปนส้มหยดเยิ้มออกมาตามสไตล์ลาวา เสียดายที่สั่งไปแค่คนละลูก แต่จะว่าไปก็อิ่มยิ่งกว่ากินบุฟเฟ่ซะอีก

การมาเยือน Takpo  ครั้งนี้ให้คะแนน 8/10 ครับ จากปริมาณ รสชาติ และราคาคนละประมาณ 15 SGD ที่รู้สึกว่าไม่แพงเกินไป คุ้มค่าที่มาทานครับ

หมูแผ่นสิงคโปร์

ถ้าพูดถึงของฝากจากประเทศสิงคโปร์แล้วหมูแผ่นนับเป็นตัวเลือกที่ดีทีเดียว ไม่ว่าใครจะมาสิงคโปร์ก็ต้องมาซื้อหมูแผ่นกันทั้งนั้น หมูแผ่นที่นี่จะเป็น หมูทุบสไลด์เป็นแผ่น แล้วเอามาย่างทีละแผ่น ความหอมที่ได้จากการย่าง และการปรุงรส ถ้าเป็นที่เค้าซื้อฝากกันเยอะๆ ก็จะเป็นร้าน BEE CHENG HIANG มีขายที่ Chinatown อยู่ หลายร้าน แต่มันแปลกอยู่อย่างหนึ่ง วันที่ผมเดินผ่านมาวันแรกที่มาซื้อตั๋วลดราคา ร้าน BEE CHENG HIANG มีคนเข้าน้อยมาก แต่อีกร้านหนึ่งที่ชื่อ LIM CHEE GUAN ที่อยู่หน้าถนน มีคนต่อคิวซื้อยาวเลย วันนี้ก็เหมือนกัน ผมเดินเข้าไปร้าน BEE CHENG HIANG ก่อน ไม่มีคนไปซื้อเท่าไรครับ ที่เจอมีแต่คนไทย ผมจึงตัดสินใจไปดูอีกร้านหนึ่งคือ  LIM CHEE GUAN ครับ ที่นี่มีคนต่างชาติ และผมคิดว่าเป็นคนสิงคโปร์ต่อแถวซื้อกันจริงๆ ผมจึงซื้อหมูสิงโปร์ที่นี่ครับ และซื้อเพิ่มเติมอีกนิดหน่อยที่ BEE CHENG HIANG เพื่อมาเทียบกันดู

Singapore Lim Chee Guan

หลังจากซื้อเสร็จ เราก็กลับไปเก็บของที่โรงแรม Fort Canning Lodge ก่อนครับ ขณะนั้นเวลาประมาณ 10 โมงครับ เราก็เดินออกมาจากโรงแรม เพื่อไปยัง National Museum of Singapore อยู่ไม่ไกลจากโรงแรมมากนัก

National Museum of Singapore

พิพิธภัณฑ์แห่งชาติของสิงคโปร์ เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดได้ว่าเก่าแก่ที่สุดของสิงคโปร์ ตัวอาคารรอดมาจากสงครามโลกครั้งที่สองได้ อย่างสมบูรณ์ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ มีการปรับปรุงให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา ไปเมื่อสองปีก่อนกับปีนี้อาจจะไม่เหมือนกัน

National Museum of Singapore

ส่วนที่จะให้เข้าชมก็จะแบ่งเป็น Gallery  ถาวร และ Gallery ขาจร ซึ่งจัดเป็นนิทรรศการสลับกันไป ในช่วงที่เราไปนั้น Gallery ขาจรมีการจัดแสดง National Trasure แต่เราก็ซื้อแค่เฉพาะตั๋วเข้าไปดูส่วน Gallery ถาวรเท่านั้นครับ เนื่องจากค่าบัตร Gallery รวมแพงมากทีเดียว ถ้าเข้าชมแค่ Gallery ถาวรราคาบัตร 12 SGD

National Museum of Singapore Sign

การเริ่มชม ให้เริ่มชม Gallery ประวัติศาสตร์ที่ชั้น 1 ก่อน แล้วค่อยขึ้นไปเจาะรายละเอียดในแต่ละยุคสมัยที่ชั้น 2 แนวทางการนำเสนอ จะใช้วิธีการจัดแสดงและจัดแสงสลัวโดยไล่ไปตามยุคสมัย

National Museum of Singapore Building

การจัดแสดงจะเล่าตั้งแต่ชาวสิงคโปร์ยังเป็นชาว Malayan ต่อมาเมื่อถึงยุคล่าอนาณิคม ชาวอังกฤษเข้ามาปกครองสิงคโปร์ ถ้าพูดถึงบุคคลในประวัติศาสตร์ที่สำคัญ ที่ได้รับการยกย่องจากชาวสิงคโปร์ก็คือ Sir Raffles Stamford เพราะเค้าเป็นคนที่เข้ามาและเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตชาว Malayan ณ ขณะนั้น โดยเปลี่ยนให้สิงคโปร์ เป็น Port of Free Trade คือท่าเรือที่งดเว้นภาษี ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา สิงคโปร์ก็เป็นเมืองท่ามาตลอด

National Museum of Singapore Inside

เหตุการพลิกผันอีกเหตุการณ์หนึ่งก็คือ เหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นได้บุกถล่มเอเชีย สิงคโปร์ก็ไม่รอดเช่นกัน ช่วงเวลานี้ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายมากที่สุดของชาวสิงคโปร์เลยทีเดียว แต่ยังถือว่าโชคดีที่ ญี่ปุ่นพ่ายแพ้สงครามไป สิงคโปร์เลยรอดพ้นจากวิกฤตในครั้งนี้ และก้าวต่อไปสู่ยุคสร้างชาติ ที่ปกครองโดย  Lee Kuan Yew ซึ่งเป็นผู้นำที่เข้มแข็งมาก

เหตุการณ์อีกอย่างหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อ ประเทศสิงคโปร์ มากเข้าไปอีกก็คือ ตอนที่ต้องแยกจากมาเลเซีย เพราะมีปัญหาเรื่องการปกครอง, เชื้อชาติ และขนาดเศรษฐกิจ ณ เวลานั้น ประเทศมาเลเซียมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่า สิงคโปร์มาก อีกทั้งสิงคโปร์ยังมีเชื่อชาติที่หลากหลายมาก มาเลเซียเองมองว่ามีความแตกต่างกันมากเกินไป จึงมีมติให้แยกประเทศ

National Museum of Singapore Floor 2

Lee Kuan Yew ในตอนนั้นแถลงข่าวทั้งน้ำตาว่า ตัวเองก็ไม่รู้ว่า ตนและประเทศสิงคโปร์ หลังจากแยกออกจากมาเลเซียแล้ว จะเป็นเช่นไรต่อไป ประโยคต่อมา เป็นประโยคที่ผมประทับใจเค้ามาก ที่เค้าบอกว่า “สิ่งที่ต้องทำตอนนี้ก็คือ การเอาชีวิตตัวเองให้รอดให้ได้” และ Lee Kuan Yew ก็ได้เริ่มจากการพัฒนาคน พัฒนาฝีมือแรงงาน สาธารณูประโภคต่างๆ และขยายอุตสาหกรรมออกไป จนเป็นที่ยอมรับในสากลโลก

ไม่น่าเชื่อว่า กฎหมายที่สิงคโปร์ จะโหดมากถึงขนาดที่ว่า ทิ้งขยะไม่เป็นที่อาจถูกตัดมือได้ แต่ Lee Kuan Yew เองเคยบอกว่า ถ้าเราอยากเข้มแข็งเราก็ต้องเด็ดขาด จะสร้างวินัยในชาติได้อย่างไรถ้าเราไม่เด็ดขาด แต่ความเด็ดขาดนั้นก็ต้องมาพร้อมกับเหตุผลเช่นกัน จากความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายนี้เอง ในเวลาต่อมากลายเป็นจุดที่บ่มเพาะระเบียบวินัย และวิถีชีวิตของชาวสิงคโปร์ จนถึงปัจจุบัน

National Museum of Singapore Gallery

ถ้าพูดถึงเมื่อ 20 ปีที่แล้ว สิงคโปร์กับไทย เรียกได้ว่า ความเจริญเท่าเทียมกันเลยก็ว่าได้ แต่เพราะความมีระเบียบวินัย กับผู้นำที่ดี ทำให้สิงคโปร์ แซงประเทศไทยมาแล้วในทุกๆด้านจริงๆ คงต้องยอมรับแล้วก็ปรับปรุงประเทศของเรา ในแง่ของความมีวินัยให้มากก่อนแล้วสิ่งอื่นๆจะตามมา

ที่พิพิธภัณฑ์ชั้นสอง ก็จะพูดถึงความเจริญในยุคต่างๆ โดยแสดงข้าวของเครื่องใช้ เสื้อผ้า รองเท้า ของเล่น เครื่องประดับ แบบเรียน เงินตรา และบัตรต่างๆ ให้ชมกัน มีรายละเอียดให้อ่านเยอะมากครับ

แต่ภายใน Gallery ทั้งหมด ทางพิพิธภัณฑ์ เค้าจะไม่ให้ถ่ายรูปครับ ผมเลยได้แต่เล่าสิ่งที่ได้เรียนรู้มาจาก พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ให้ทุกท่านได้ฟังกันครับ

Food Republic

ต่อมาก็ได้เวลาทานข้าวเที่ยงครับ เราวางแผนกันว่าจะไปกินข้าวกันที่ Vivo City เราก็เดินหา  Food Court ที่ Vivo City  ได้มาเจอกับ Food Republic แต่  Food Republic ที่นี่ อลังการกว่าที่ Suntec Tower เสียอีก ตกแต่งเป็นเมือง ญี่ปุ่นกันเลย แต่อาหารญี่ปุ่นมีอยู่ร้านเดียวนะครับ ที่เหลือก็เป็นอาหารชนชาติอื่น

Vivo City Food Republic

สำหรับอาหารมื้อนี้ในเมื่อมา Theme ญี่ปุ่นแล้ว ก็ขอชิมอุด้งญี่ปุ่นหน่อยนะ ผมสั่ง  Kake อุด้งเย็นครับ ที่เมืองไทยก็มีแบบนี้ อยากลองกินเพื่อเปรียบเทียบดู ผลสรุปออกมาว่า กินที่ไทยดีกว่าครับ ที่ Food Court นี้ ทำไม่พิถีพิถันเลย น้ำเย็นไม่พอ เส้นก็ยังไม่เย็นตัว เสิร์ฟมากินแล้วเหมือนกิน อุด้งชืดๆมากกว่า ไม่แนะนำครับ

Vivo City Food Republic Inside

หลังจากรับประทานอาหารเที่ยงเสร็จแล้ว เราก็เดินทางต่อมาตามเส้นทางสายไหมเดิมที่เราคุ้นเคย อย่าง Broadwalk กันอีกครั้งนึง เพื่อข้ามไปยังเกาะ Sentosa นั่นเอง แต่คราวนี้ จุดมุ่งหมายแรกของเราจะเป็น Super Merlion หรือ Merlion ที่ใหญ่ที่สุดในสิงคโปร์นั่นเอง

Super Merlion

ไม่รู้เค้าเรียก Merlion ตัวใหญ่บนเกาะ Sentosa กันแบบนี้หรือเปล่านะ แต่เห็นว่ามันปล่อยแสงเลเซอร์ได้ตอนกลางคืน เลยขอเรียกมันว่า Super Merlion ก็แล้วกัน ครั้นจะเรียกว่า Merlion King ก็ดูไม่มีมงกุฎบนหัวสิงโต เราเดินท่ามกลางแดดร้อนระอุ วนไปวนมาอยู่หลายครั้ง เห็น Super Merlion อยู่แต่ไกล แต่เราก็ไม่รู้ ว่าจะเข้าไปทางไหน เดินไปเดินมาสักพัก ก็เริ่มเข้าใกล้ Merlion ในที่สุดก็เจอจนได้ ทางเข้าที่ฐาน Merlion ด้านล่างมีตู้ขายตั๋วอยู่ แต่ของเราเป็นตั๋วควบ Merlion +  Wing of Time ต้องขึ้นไปที่ Super Merlion ก่อน แล้วค่อยไปเปลี่ยน ตั๋วเป็น Wing of Time

Singapore Sentosa Resort World

ตอนเข้าไปบรรยากาศก็จะเป็นแนว แฟนตาซี มีเล่าเรื่องราว ปรัมปรา เกี่ยวกับตำนาน Merlion  ด้านในสุดจะเป็นละครโรงเล็ก ที่เล่าถึงตำนานการสร้าง Merlion ขึ้นมา ว่ากันว่า…

Sentosa Merlion Inside

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เจ้าชายแห่งแผ่นดินใหญ่ ออกเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเล เพื่อที่จะไปสำรวจแผ่นดินใหม่ แต่ไปเจอสัตว์ประหลาดกลางทะเลรูปร่างคล้ายงูยักษ์ สัตว์ประหลาดกำลังจะบดขยี้เรือ แต่เจ้าชายเห็นว่าสัตว์ประหลาดชอบวัตถุ ที่มีแสงแวววาว จึงตัดสินใจถอดมงกุฎของพระองค์ แล้วโยนลงไปในทะเล และเป็นไปตามที่เจ้าชายคิด สัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเล ดำน้ำลงไปตามมงกุฎที่เจ้าชายโยนลงไป ต่อมาเจ้าชายได้ขึ้นฝั่งที่แผ่นดินอันหนึ่ง แล้วได้เจอสิงโตพุ่งเข้าใส่ แต่เมื่อทั้งสองสบตากัน ทั้งสองต่างให้ความเคารพและยำเกรง ซึ่งกันและกัน ต่างฝ่ายต่างไม่ทำร้ายกัน และสิงโตก็กลับเข้าไปในป่าอย่างโดยดี เจ้าชายจึงตัดสินใจตั้งชื่อเมืองนี้ใหม่ว่า City of Lion ซึ่งก็คือเมือง Singpura เป็นที่มาของ สิงคโปร์ ในปัจจุบันนั่นเอง

Sentosa Resort World Merlion

สำหรับสัญลักษ์ Merlion นี้มาจาก สิงโตที่เจ้าชายพบ และหางปลาก็เป็นสัญลักษณ์ตัวแทนแห่งท้องทะเล นั่นเอง

Sentosa Golden Merlion

พอดูจบ เราก็ไปรับเหรียญทองคำที่ระลึกจาก Merlion กันครับ ตั๋วจะมีอยู่หลายประเภทนะครับ บางประเภทก็จะไม่ได้รับเหรียญนี้ บางประเภทก็จะได้รับ หลังจาก รับเหรียญเสร็จ เราก็ขึ้นลิฟท์ไปที่ส่วนหัวของ Merlion ครับ ที่ส่วนหัวจะมีให้เข้าไปได้สองจุด คือที่ปาก กับด้านบนสุดเลย ที่ส่วนปากของ Merlion จะมีระฆังให้เคาะเป็นสิริมงคลด้วย แต่ที่ส่วนปากของ Merlion ก็ถ่ายภาพยากมากเช่นกันในตอนกลางวัน เพราะว่า ด้านหลังแดดจ้าขาวโพลนเลย

Sentosa Merlion View

ด้านบนสุดต้องบอกตรงๆว่า แดดร้อนมากครับ แต่วิวจากบนหัวของ Merlion ก็จะเห็นบริเวณของเกาะ Sentosa ทั้งหมดครับ แต่ก็พูดตามจริงนะว่า ไม่ได้สวยงามอะไรเท่าไร มันไม่เหมือนกับวิวในเมืองอะไรแบบนี้ เห็นหลังคา รีสอร์ทกับสวนสนุกไม่ค่อยจะสวยงามเท่าไร จากนั้นเราก็จะไปดำดิ่งใต้ท้องทะเลกับอีกจุดหมายที่เราจะไป นั่นก็คือ…

SEA Aquarium

พอจบจาก Super Merlion เราก็ไปแลกตั๋ว Wing of Time ที่ตู้ขายตั๋ว ตู้ใหญ่นะครับ อยู่นอก Super Merlion พอได้ตั๋วมาแล้ว เราก็สบายใจละ ไปเที่ยว   SEA Aquarium ตามที่วางแผนเอาไว้ดีกว่า

Sentosa Sea Aquarium

ที่ SEA Aquarium คนเยอะมาก ช่วงแรกที่เดินเข้าไปจะเป็นการแสดงนิทรรศการคล้ายๆ กับประวัติศาสตร์การเดินเรือ ข้ามยุคสมัยต่างๆ แต่ก็ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับสิงคโปร์เท่าไร ด้านในจะมีทางแยกไปเข้าชม ไต้ฝุ่น 3 มิติด้วย แต่เราไม่ได้เข้าชม (ไต้ฝุ่น 3 มิติ ต้องเสียเงินเพิ่มนะครับ) ของโชว์ Hilight ในโซนนี้ ก็คือเรือสำเภาขนาดยักษ์ ที่ผ่าครึ่งให้ดูว่าข้างในบรรจุอะไรบ้าง มีบรรจุยีราฟด้วยนะ

Sentosa S.E.A aquarium outside

เราจะไปกันต่อที่ Aquarium ครับ อุโมงปลาอันแรก คนเยอะมาก เบียดกันยังกับรถเมลล์ มีปลาฉลามธรรมดา และปลาฉลามหัวค้อนแหวกว่ายอยู่ด้วย โซนต่อมาก็จะเป็นตู้ปลาที่เอาไว้ใส่ปลาแบบต่างๆกันไปเรื่อยๆ

Sentosa S.E.A aquarium tunnel

จนมาถึงตรงกลาง จะมีตู้ปลาทรงกลมขนาดใหญ่ ในนั้นมีปลาเก๋ายักษ์ เป็นทีเด็ดให้เราชมกันด้วย

Sentosa S.E.A aquarium giant fish

ถัดจากปลาเก๋ายักษ์ ก็จะเป็นดอกไม้ทะเล ให้ชมกันก่อนจะไปถึง Hilight ใหญ่ของ SEA Aquarium

Sentosa S.E.A aquarium giant tank

ตู้ปลายักษ์ ขนาดใหญ่กว่าจอที่ใหญ่ที่สุดของโรงหนังบ้านเราเสียอีก ในนั้นก็จะมีปลาหลากหลายชนิดเช่นกัน แต่ก็จะเน้น ปลาฉลาม และปลากระเบนเป็นส่วนมาก แต่ผมคิดว่า ชนิดของปลาที่เอามาโชว์ในตู้ใหญ่นี้มันน้อยเกินไปนะ ตู้ใหญ่มาก แต่ส่วนใหญ่เป็นปลาเล็กปลาน้อยมากกว่า ตัวเป้งจริงๆคือปลากระเบนดำ และปลากระเบนดาว

 Sentosa S.E.A aquarium Giant Batoids

ถัดมาก็จะเจอกับ แมงกระพรุนครับ แมงกระพรุนที่นี่จัดแสดงแสงสีได้ดีมากเลย อาศัยความที่แมงกระพรุนมีสภาวะโปร่งแสง แล้วจัดฉายสีให้เปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ ดูสวยงามจริงๆ

Sentosa Sea Aquarium Jelly Fish

ต่อมาก็แถมด้วยปูหนามกันดีกว่าครับ เห็นแล้วนึกถึงปูอลาสก้าน่ากินจริงๆ

Sentosa S.E.A aquarium crab

โซนถัดไปจะเป็นโซนน้ำกร่อย แสดงพันธุ์ปลาที่อยู่ในน้ำกร่อยทั่วไป และอุโมงปลาขาออกครับ แนะนำให้คนที่อยากถ่ายรูปอุโมงปลามาถ่ายที่นี่ดีกว่า คนน้อยกว่ามากๆ

Sentosa S.E.A aquarium fish

เป็นอันจบการเยี่ยมเยียน SEA Aquarium กันเป็นที่เรียบร้อย แต่พอออกมา เราเห็นว่าหัวสิงโต ที่ติดอยู่บนเรือสัมเภา มันเริ่มขยับได้ เราเลยเข้าไปดูกัน เป็นการฉายประวัติของบุคคลสำคัญของจีนที่เข้ามาค้าขายและเปลี่ยนในสิงคโปร์ พอหลังจากฉายเสร็จ มันก็เงียบสงบไป

Sentosa S.E.A aquarium Movie

Sentosa CASINO

แผนการต่อมาของเราก็คือ CASINO !!! เราจะเข้าไปเยี่ยมเยียน CASINO กัน CASINO ที่นี่ชาวต่างชาติเข้าฟรี แต่ชาวสิงคโปร์ต้องเสีย 200 SGD เป็นค่าเข้า เป็นการมอมเมาชาวต่างชาติดีๆนี่เอง วิธีการเข้าใช้แค่ Passport ครับ ก็สามารถเข้าได้แล้ว แต่ทว่า…

Sentosa Lake of Dream

เพื่อนผม เอากระเป๋าเป้ไป เอาเข้าไปด้วยไม่ได้ ต้องเอาไปฝาก ราคาค่าฝากก็ 6 SGD กันเลยทีเดียว เราพิจารณาดูแล้วว่า ไม่คุ้มค่าการฝาก หรือว่านี่อาจจะเป็นเพราะไปเคาะระฆังหลวงพ่อ Merlion เข้า หลวงพ่อเลยบอกว่าอย่าเข้าไปเลยโยม เดี๋ยวเสียตัง !! ผมเลยต้องออกมา เมื่อทีมงานไม่สามารถเข้าได้ แต่โผล่เข้าไปดูแป๊บนึง ก็พบว่า สีสันภายในคาสิโนนั้น มีสีสันเยอะมาก มีเคาท์เตอร์ให้รับประทานน้ำฟรี คิดว่ามีชากาแฟด้วย คนเดินกันเยอะแยะมากมาย คนนั่งโต๊ะเล่นไพ่ก็แยะ สุดยอดจริงๆ แต่ผมก็เห็นบางคนคอตก เดินออกไปนะ เลยคิดว่า ดีแล้วล่ะที่ไม่ได้เล่น ไม่งั้นคงคอตก และจิตตกแน่ๆ

Siloso Beach

Sentosa Siloso Beach

เมื่อไม่มีอะไรทำเราก็เดินไปแถวๆ ที่เค้ากำลังจะแสดง Wing of Time กันเลยดีกว่า ที่นี่คือ Siloso Beach หาดสวรรค์ ของนักท่องเที่ยวต่างชาติอะนะ เพราะว่าร้านค้าที่อยู่ริมหาดทั้งหลาย ต้องใช้เงินทั้งนั้น แล้วก็เงินเยอะด้วย เกาะนี้เป็นเกาะที่มีแรงดึงดูดเงินสูงมาก รอบๆบริเวณนี้ ก็จะมี Go-Cart แบบไหลลงจากที่สูง แล้วก็หาดทรายเล็กๆ แต่คนเยอะจริงจัง

Sentosa Siloso Beach

Wing of Time

Wing of Time

เรารอดู Wing of Time รอบ 19.40 แต่ เกตเปิดให้เข้าเวลา 18.50 เป็นต้นไป เราก็ไม่รอช้าเข้าไปจับจองที่นั่งดีๆก่อน ตั๋ว Wing of Time จะมีอยู่ 2 แบบก็คือ Reserve กับ Non-Reserve ที่พวกเราซื้อเป็นตั๋ว Non Reserve แตกต่างกันตรงที่ ตั๋ว Reserve ที่นั่งจะมีพนักพิงส่วน Non Reserve ไม่มี และ Reserve จะที่นั่งดีกว่า มาช้าก็ยังได้ที่นั่งดี เรารอไปเรื่อยๆ จนถึงเวลาประมาณสักสิบห้านาทีก่อนการแสดง ก็จะมีประกาศว่า การแสดงกำลังจะเริ่มแล้วรอสักครู่ ก่อนการแสดงมีการประกาศว่าที่นั่งด้านหน้าที่อยู่ในโซนของแถบสีฟ้า อาจจะเปียกได้ เพราะการแสดงเป็นการแสดงม่านน้ำและน้ำพุ

Sentosa Wing of Time

การแสดงตอนเริ่มต้น เริ่มจาก เด็กชายหญิงคู่หนึ่ง เด็กผู้หญิงซุกซน วิ่งออกมาจากโรงเรียน เพื่อไปค้นหาอะไรสักอย่างที่ก้อนหินโบราณ เด็กผู้ชายก็วิ่งตามเด็กผู้หญิง จนเด็กผู้หญิงหายไปจาก เวที โผล่มาอีกที ม่านน้ำก็ฉายขึ้นมาซะแล้ว พร้อมกับ  Special Effect ตระการตา เนื้อเรื่องกำลังจะเริ่มต้นขึ้น เด็กผู้หญิงตกเหวลงไปแล้ว แต่ทว่า… นกยักษ์ปีกสีรุ้ง บินขึ้นมาพร้อมกับเด็กผู้หญิงซะงั้น แล้วนกยักษ์ก็บอกว่า “ข้าจะบินกลับบ้าน” เด็กๆถาม “บ้านเธออยู่ที่ไหนล่ะ” นกยักษ์ตอบว่า “จุดเริ่มต้นของกาลเวลา”

Sentosa Wing of Time Scene

เด็กๆก็ถามอีกว่า “แล้วจะกลับไปได้ยังไง” นกยักษ์ตอบว่า “ก็นี่ไงล่ะ Wing of Time”  เด็กๆบอกว่า “ไปด้วยได้มั้ย” นกยักษ์พยักหน้า แล้วก็เริ่มออกบิน การแสดงจะเป็นการแสดง แสงสีเสียง ม่านน้ำ และ Laser Effect  อยู่หน้าหาด นกยักษ์จะบินไปตามยุคสมัยต่างๆ ซึ่งจะมีการแสดงที่มี Effect ต่างกัน ตั้งแต่บุกน้ำ ลุยไฟ ยุคโลหะ ทะเลทราย สิ่งก่อสร้าง จนตอนท้ายสุด กลับมาที่จุดเริ่มต้นของกาลเวลา แล้วนกยักษ์ก็มอบขนนกให้กับเด็กๆ เพื่อกลับสู่เวลาในปัจจุบัน

Sentosa Wing of Time Scene 2

ในช่วงสุดท้ายของการแสดง มีการระเบิด Effect  ชุดสุดท้ายคือการจุดพลุไฟ อย่างอลังการ แล้วการแสดงก็จบเพียงเท่านี้

Sentosa Wing of Time Scene 3

วันนี้เรากลับเร็วครับ 21.30 เราก็ถึงรถไฟฟ้าสถานี Dhoby Ghaut แล้ว เราเลยยังชีพกันด้วยขนมปัง และอาหารในเซเว่นอีเลเว่น แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ มีอาหารสำเร็จรูป CP ขายด้วยนะ แถมฉลากยังเป็นภาษาไทยอีกต่างหาก เมื่อเราซื้อของเสร็จแล้ว เราก็เดินกลับโรงแรม Fort Canning Lodge เพื่อพักผ่อน และเตรียมตัวสำหรับวันพรุ่งนี้

ติดตามได้ที่ Day4 ~ Fort Canning Park – Goodbye Singapore

เที่ยวสิงคโปร์ ซีรีย์นี้มีทั้งหมด 4 ตอนนะครับ เขียนจบเรียบร้อยแล้วตาม Link ด้านล่างนี้เลยครับ

2 ความคิดเห็น

  1. […] หลังจากนั้นเราก็ไปขึ้นรถไฟฟ้าที่สถานี Raffles Place เพื่อกลับไปยังโรงแรม Fort Canning Lodge กันครับ วันนี้ก็เท้าพองอีกแล้วครับแต่ก็ยังดีที่เดินไหว เพื่อไปผจญภัยในที่ๆเราอยากไป คาดว่าพรุ่งนี้น่าจะสบายกว่านี้ (ล่ะมั้ง) โปรดติดตามตอนต่อไป (Day3 ~ Museum & Sentosa) […]