เที่ยวสิงคโปร์ เช้านี้เราตื่นมากันตอน 7 โมงครับ แผนของเราเช้านี้คือ เราจะไปเดินเล่นกันที่ Fort Canning Park ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับ Fort Canning Lodge โรงแรมที่เราพักอยู่นั่นเอง จากนั้นจะต่อด้วย อาหารยอดฮิตอย่าง Bak Kut Teh ที่ร้านชื่อดัง Song Fa
Fort Canning Park
สถานที่แห่งนี้ เคยเป็นจุดยุทธศาสตร์ ในช่วงสงครามด้วย ภายในสวนสาธารณะแห่งนี้ เคยเป็น ฐานบรรชาการและหลุมหลบภัยไปในตัว และยังเคยเป็นที่พำนักระหว่างสงคราม ของ Sir Raffles Stamford อีกด้วย คิดว่าภูเขาลูกนี้สามารถมองออกเป็นเห็นทะเลได้ทีเดียวเชียว ถ้าใช้กล้องส่องทางไกล
สิ่งที่เจอในสวนแห่งนี้ ก็จะเป็นอนุสาวรีย์ซะส่วนมาก ประตูผ่านทาง ป้ายชื่อทหารและสุสาน อันนี้ผมไม่ได้ถ่ายรูปมา แล้วก็ศาลาแห่งการทำนายโหราศาสตร์ แล้วก็ปืนใหญ่
นอกจากอนุสาวรีย์แล้ว เราก็จะเจอ Fort Canning Green เป็นอาคารขนาดใหญ่ซึ่งผมเชื่อว่าเป็นที่จัดแสดง พิพิธภัณฑ์ เช่นกัน ตอนไปมันยังไม่เปิด เลยไม่รู้ว่ามันคืออะไร
แต่ที่แน่ๆ ที่ Fort Canning Park แห่งนี้ มีโรงแรม Hotel Fort Canning อยู่ด้วย เป็นโรงแรมที่ค่อนข้างจะเก่าแก่ เช่นกัน เป็นโรงแรมใหญ่เหมือนกัน แต่อยู่ในสวนสงครามนี่มันยังไงๆอยู่ กลัวตอนกลางคืนนอนไปจะมีทหารมาเฝ้านี่สินะ
นอกจากนั้นที่นี่ยังมีหลุมหลบภัยจริงๆให้เข้าชม อย่าง Battle Box อีกด้วย ซึ่งภายในจัดเป็นนิทรรศการให้เราได้ดูได้ชมกัน แต่เสียค่าเข้าชมนะเออ
ก่อนจะเดินกลับ เราไปเจออาคารนึงครับ แปลกมากเป็นอาคารสำหรับทหารที่แต่งงานแล้ว (Old Married Soldiers Quaters) ไม่รู้ไว้ใช้ทำอะไรเหมือนกัน แต่ชื่อแปลกดี อีกอาคารหนึ่งที่เราไปเยี่ยม ก็คือ Raffles Place ที่เป็นที่พำนักของ Sir Raffles Stamford นั่นเอง นี่เป็นจุดสุดท้ายแล้วก่อนออกจากสวน
Song Fa Bak Kut Teh
ลงจากสวนไปไม่นาน ก็เจอร้านที่เราตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะมากินให้ได้ก่อนกลับ นั่นก็คือร้าน Song Fa Bak Kut Teh นั่นเอง ร้านนี้เป็นร้านที่ทุก Guidebook ต้อง Recommended ในอินเตอร์เนตก็พูดถึงเช่นกัน ว่าถ้าจะกิน บักกุ๊ดเต๋ แล้วต้องมาที่ ร้านซงฟา ร้านเปิดมาตั้งแต่ปี 1969 ค.ศ. นะ แล้วใน Guide Book บอกว่าเนี่ยร้านเปิดเวลา 9.00 เราก็เลยไปก่อนเวลานิดหน่อย แต่ก็เห็นคนเต็มร้านแล้ว เลยคิดว่าร้านคงเปิดเร็วกว่านั้นแน่นอน พอเราไปถึง มีคนกำลังเดินออกจากร้านพอดี เราเลยได้โต๊ะ โชคดีไป เพราะว่าหลังจากที่นั่งลงไปแล้ว มีคนมาต่อคิวที่ร้านอีกมากมาย ว่าแล้วเราก็เริ่มสั่งครับ รายการอาหารที่เราสั่งมีดังนี้
- ซุปกระดูกหมูชุดใหญ่
- ซุปปลาชุดเล็ก
- คะน้าฮ่องกงเล็ก
- หมูพะโล้
ตอนสั่งยังไม่ตื่นเต้นเท่าไร ตอนมาเสิร์ฟนี่ ผมงงสิครับ คนเสริฟท์เป็นป้าคนนึง ท่าทางแกจะยุ่งมาก มาบอกว่า Pay Now!! เสียงอย่างโหด ผมก็รีบหยิบตังในบัดดล แต่จริงๆก็โทษแกไม่ได้เพราะ มันมีเขียนอยู่ที่โต๊ะว่า Pay When Serve ผมไม่ได้อ่านเอง ในขณะที่กำลังเลิ่กลักนับเหรียญอยู่นั้น ป้าแกก็พูดบอกว่า 70 เซนต์!! แบบเสียงโหดอีกแล้ว ฮือหนูทำอะไรผิด เหรียญสิงคโปร์นี่ผมไม่ชินจริงๆ บางที เหรียญขนาดไม่เท่ากันก็จำนวนเท่ากัน แล้วแบบเราไม่ชิน ป้าแกก็ไม่รีรอเลย ผมเลยจำยอม ควักแบงค์จ่ายไปแทน กลัวป้าแกจริงๆ
มาพูดถึงกับข้าวกันบ้างดีกว่า อาหารที่เราสั่ง บักกุ๊ตเต๋ เป็นอย่างนี้นี่เอง ซุปใส่เครื่อง เท่าที่ลองกิน จะเป็นซุปกระดูกหมูใสๆ ใส่พริกไทยนิดๆ กลมกล่อมกำลังดี ส่วนกระดูกหมูที่ใส่มาก็นิ่มกินได้ไม่ยาก แต่ชามที่เป็นซุปปลานี่สิ ปลาดอลลี่ ไม่มีรสชาติของปลาเลย เนื้อปลาก็จริง แต่ไม่อร่อย สู้ชามซุปกะดูกหมูไม่ได้
ตอนแรกร้านเสิร์ฟผิด เสิร์ฟไส้หมูมาเฉยเลยเราก็งงๆ เสิร์ฟอะไรมาวะ ไม่ใช่ที่สั่งนี่หว่า สักพักนึง พนักงานก็เดินมาถามว่า กินไปหรือยัง เราบอกว่ายังไม่ได้กิน พนักงานก็ยกจานนั้นไปเททิ้งเลย แล้วก็เสิร์ฟใหม่เป็นหมูพะโล้ที่เราสั่ง จะบอกว่าเมนูนี้ต้องสั่งนะครับ หมูพะโล้เนี่ย น้ำพะโล้อร่อยมาก หมูก็นิ่มด้วย ผมเงยหน้ามองไปโต๊ะรอบๆ เค้าสั่งอะไรกันบ้าง ส่วนมากนะครับ จะสั่งซุปกระดูกหมู กับ… ไส้พะโล้ที่เสริฟท์มาผิดเมื่อกี้
ไม่นะพลาดซะแล้ว แต่ไม่ไหวแล้วครับ กับข้าวบนโต๊ะเยอะเกินไป ไหนจะผัดคะน้าอีก ไหนจะข้าวอีกกินไม่หมดแน่นอน เราก็กินกันเต็มที่ยังกับบุฟเฟ่แล้วครับจังหว่ะนี้ กินกันเยอะจริงๆ แต่เสียไปคนละประมาณ 15 SGD
หลังจากเรากินเสร็จ เราก็กลับไปที่โรงแรม Fort Canning Lodge ของเราเพื่อไป เข้าห้องน้ำ ทำธุระส่วนตัวให้เสร็จ ก่อนจะ Checkout ลากกระเป๋าออกมา
รายการต่อไป ผมขอเป็นกรณีพิเศษ ให้แวะห้างเครื่องเขียนในตำนาน คือ Bra Basha Complex ในนั้นมีร้านอุปกรณ์ระบายสีหลายร้านมาก ร้าน Art Friend นี่จะราคาถูกมาก ผมไปได้นำ้ยากันสีของ Winsor Newton มาจากร้านนี้ ราคา 11 SGD แล้วก็ตามหา Water Brush ด้วย ที่ร้านนี้ไม่มี เลยต้องไปดูอีกร้านคือร้าน Art Maker เจออันละ 6 SGD เป็น Water Brush หัวขนาดใหญ่สุดด้วย เอากลับมาใช้แล้วใช้งานดีมาก เสียดายน่าจะซื้ออีกอัน หลังจากซื้อเสร็จ ก็แวะไปกินข้าวเที่ยงต่อ ที่ Raffles City ห้างที่อยู่ใกล้ๆ สถานี City Hall
เราไม่รีรอ ตรงไป Food Court เลยครับ ที่นี่เป็นของ Food Junction เราสามารถใช้บัตร My MRT จ่ายได้ด้วยผมก็ใช้จ่ายไปจนเหลือ 2 SGD เพื่อไปสนามบินพอ อาหารมื้อนี้ ผมกินข้าวมันไก่สิงคโปร์อีกครั้งครับ ราคาที่นี่เท่ากับที่ผมไปกิน Tian Tian ที่ Maxwell Food Center เลย แต่ที่นี่มีใส่แตงกวาดอง กับสัปปะรดมา แล้วก็มีน้ำซุปด้วย รสชาติก็ใช้ได้นะ ถึงไก่จะไม่นิ่มเท่า Tian Tian แต่รสชาติของข้าว แล้วมีผักกับน้ำซุปนี่ ผมเลือกกินที่นี่ดีกว่า
กินเสร็จก็ได้เวลาไปสนามบิน โชคดีที่สถานี City Hall มี MRT สายสีเขียวที่สามารถไปถึงสนามบินได้เลย เราก็กำลังจะผ่านเข้าเกต MRT ครับ ทันไดนั้นเอง ตืดๆ เข้าเกตไม่ได้ครับ บอกว่า Invalid Card ผมนี่งงไปเลย ผมลองไป Check Value ที่ตู้เติมเงิน ดู สีแดงขึ้นที่ตัวเลขแล้วบอกว่า Value Too Low ผมก็เข้าใจได้เลยว่า มันไม่ยอมให้เหลือเท่านี้ ต้องเติมเงินเข้าไป ในการเติมเงินครั้งนึงต้องไม่ต่ำกว่า 10 SGD แต่ผมก็เติมเข้าไป เพราะก่อนหน้านี้ไปถามที่ตู้จำหน่ายบัตรมีเจ้าหน้าที่อยู่เค้าบอกว่า Refund ได้ ก็เลยเติมไป ไม่งั้นก็จะซื้อ One Time Ticket ไป
พอมาถึงที่ MRT Changi ก็ขอ Refund ทันที Refund ได้ครับแต่ !!! ไม่คืนบัตร MRT นะครับ Refund ก็คือได้จำนวนเงินคืนแล้วเค้าเก็บบัตรไปเลย ผมก็อึ้งๆอยู่ แต่ก็ต้องช่างมันละ เราจะต้องไป Check In แล้ว เราก็ไป Check-In โหลดกระเป๋ากันก่อนเลย แล้วหลังจากนั้นก็มาคิดกันว่า เศษเหรียญที่เหลือมันแลกคืนไม่ได้ จะทำยังไงดี
พอดีเจอร้านขนมปัง เราก็เลยจัด Kaya Toast อีกสักรอบด้วยเหรียญทั้งหมดที่เรามี หลังจากกินอิ่มแล้ว ก็ไปเข้าห้องน้ำ เตรียมตัวขึ้นเครื่อง น่าสังเกตุอยู่อย่างหนึ่ง ช่วงวันเสาร์อาทิตย์ พนักงานหลายที่จะเป็นคนแก่ เหมือนกับว่าที่สิงคโปร์เค้าให้งานคนแก่ทำ อย่างในห้องน้ำอย่างนี้ เวลามีใครทำอะไรเลอะ ลุงแกรีบไปถูทันที เวลามีใครหาทิชชู่ไม่เจอ ลุงก็เดินไปบอกว่าทิชชู่อยู่นี่ ที่ Food Court ที่ผมไปกินมาเหมือนกัน มีป้าคอยเช็ดโต๊ะให้สะอาดอยู่ แต่งานที่คนแก่ทำจะไม่ได้เป็นงานที่หนักมาก เท่าที่ผมสังเกตุเห็นนะ
ผมเดินเข้าเกตมา ผมงงเล็กน้อย เค้าไม่มีตรวจกระเป๋า เหมือนสนามบินบ้านเราแฮะ หรือว่าเค้ามีเครื่องสแกนเลย งงอยู่พักหนึ่งจนพอเดินไปถึงเกตแล้วถึงหายงง คือเค้าตรวจที่หน้าเกตเลย ถ้าตรวจแล้วก็คือเดินออกจากเกต ไปเข้าห้องน้ำไม่ได้แล้ว ต้องตรวจใหม่อีกรอบ ผมว่าแบบนี้ ดูมีมาตรฐานและ Secure กว่าบ้านเราอีก เพราะ ถ้าตรวจก่อน คนเราสามารถแวะไปร้านค้าได้ ซื้อของอะไรที่เป็นของเหลวมาก็ได้ อาจจะไม่ปลอดภัย แต่แบบนี้ก็เสียเรื่องไปเข้าห้องน้ำอย่างเดียวนี่แหล่ะ ว่าตรวจแล้วก็ต้องนั่งรอเครื่องเลย แล้วที่สำคัญตรวจเข้มมาก คิวผมนี่ มีเสียงดังติ๊ดๆ ที่ไม้กระบอง ทั้งจับกางเกง ทั้งล้วงกระเป๋าทุกอย่างเลย แต่ที่ดังก็เพราะเข็มขัด กับกระดุมเหล็กที่กางเกงยีนส์ ก่อนเอาของเข้าไป Scan เค้ามีเบอร์ให้ด้วยนะ ว่าของใครเบอร์อะไร ไม่ใช่เข้าไปมั่วๆนะ พอตรวจเสร็จ พนักงานสายการบินก็มา ตรวจ Passport กับตั๋วเลย ตรวจเสร็จก็ให้นั่งรอเครื่องเลย
พอเครื่องมาเค้าก็จะเรียกตามแถว ผมคิดว่าน่าจะเรียงตามลำดับที่ Check-In เพราะผมมาค่อนข้างแต่วัน ผมได้แถวที่ 5 ซึ่งแตกต่างกับเมืองไทย ที่ผมไป Check-In คนแรก ไม่รู้ว่าทำไมกระเด็นไปแถวที่ 28 เลย หรือว่าที่เมืองไทย พนักงานสุ่มให้ แต่ที่นี่ให้เรียงลำดับ แล้วเราก็ขึ้นเครื่อง บินลัดฟ้ามากลับมาที่เมืองไทยโดยสวัสดิภาพ พร้อมกับแลกเงินคือตอนนั้นเลย เพราะเห็นว่า Rate ไม่ได้ต่างกันมากแล้วจำนวนเงินของเราก็ไม่ได้มากด้วย
ทริปนี้ก็จบลงอย่างสวยงาม ตามแผนที่วางไว้ทุกประการ มีแถม National Museum of Singapore มาอีกที่หนึ่ง แต่ก็คุ้มค่าเป็นอย่างมาก ทริปนี้ใช้จ่ายไปทั้งหมด ประมาณคนละ 18,000 บาท กับการได้กินยังกับบุฟเฟ่ 2 มื้อ กับอาหารที่เป็น Signature มื้อต่างๆอีกต่างหาก โรงแรมเกรดค่อนข้างดี ไม่แคบและสะอาด แล้วก็ได้เที่ยวสถานที่ Hilight ทั้งหมด แถมยังได้หมูสิงคโปร์กลับบ้านมารวมๆ กิโลนึงได้ ผมได้พู่กันกับน้ำยาด้วยนะเออ เราพักทั้งหมด 4 วัน 3 คืน คิดว่าค่าใช้จ่ายเท่านี้รวมตั๋วเครื่องบิน ถือว่า คุ้มค่าแล้ว สำหรับการเปิดโลกทัศน์สักครั้งหนึ่งในชีวิต
เที่ยวสิงคโปร์ ซีรีย์นี้มีทั้งหมด 4 ตอนนะครับ เขียนจบเรียบร้อยแล้วตาม Link ด้านล่างนี้เลยครับ