เที่ยวสิงคโปร์ บทความนี้จะเป็นการเล่าถึงประสบการณ์ การท่องเที่ยวประเทศสิงคโปร์ด้วยตนเอง ตั้งแต่บินลัดฟ้าจากประเทศไทย ไปยังสิงคโปร์ และเที่ยวแลนด์มาร์คสำคัญอย่าง มารีน่าเบย์ ไชน่าทาวน์ และ การ์เดนบายเบย์ ถ้าพร้อมแล้วก็ ตามอ่านกันได้เลยครับ
เที่ยวสิงคโปร์ ออกเดินทางสู่สิงคโปร์
ท่ามกลางเวลาห้าทุ่มคืนที่ทุกคนกำลังจะปิดไฟนอน เรากำลังลากกระเป๋าเดินทาง เพื่อขึ้นแท๊กซี่ไปยังท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง เวลาประมาณเกือบตีหนึ่งเรามาถึงท่าอากาศยานดอนเมือง แต่ไฟลท์ของเรายังคงได้เวลาอีกห่างไกล เพราะเป็นไฟลท์เวลา 06.15 นาฬิกา ก่อนหน้านี้สองวัน แอร์เอเชียส่งอีเมลล์มาเตือนว่าให้มาก่อนล่วงหน้า 3 ชั่วโมง เราก็ไม่รอช้า เร่งหาที่นอนสิครับ ในช่วงเวลานั้น Terminal 2 กำลังปรับปรุงอยู่ เสียงดังมาก นอนไม่ได้เลย แต่แล้วเราก็เจอ สถานที่นอนในตำนานที่เงียบสงบมากแห่งหนึ่ง ของสนามบินดอนเมือง นั่นก็คือบริเวณส่องเครื่องบินนั่นเอง บริเวณนี้ อยู่ชั้นบนของบริเวณที่เช็คอินผู้โดยสาร ถ้ามีถุงนอนก็สามารถเอามานอนได้เลย แต่ขอบอกก่อนเลยว่า อากาศในสนามบิน โครตจะหนาว ไม่รู้จะเปิดแอร์แรงไปไหน เปลืองไฟจริงๆ
เรารอจนถึงประมาณ ตีสามสิบห้านาที ตามเวลาท้องถิ่น เคาท์เตอร์สสำหรับเช็คอิน ยังไม่มีใครมาเลยสักคน รอจนถึงเวลาประมาณตีสามครึ่ง ถึงจะมีเจ้าหน้าที่มานั่ง สองคน ทัวร์จีนก็มารอต่อแถวกันอยู่ที่อีกเคาท์เตอร์หนึ่ง เราก็ไปรอต่อแถวอีกเคาท์เตอร์หนึ่งสิครับ แล้วเราก็เข้าไปเช็คอินเป็นคนแรกครับ เวลานั้น ไม่น่าเชื่อว่า มีแต่ชาวต่างชาติ ไม่จีนก็ กลุ่ม AEC มาเช็คอินกัน หลังจากเช็คอินเสร็จ ก็ยังไม่สามารถไปที่เกตได้ครับ เพราะทางผ่าน ตม. ยังปิดอยู่ แล้วจะให้รีบมา เช็คอินก่อนสามชั่วโมงทำไมฟระ
เวลารอรวมขึ้นเครื่องนี่ยังกับใช้เวลานั่งรถทัวร์ จากกรุงเทพฯ ไปเชียงใหม่เลย และแล้วเราก็ต้องรอจนถึงเวลา ตีสี่นิดๆครับ ถึงจะเห็นเจ้าหน้าที่ มาเปิดทางเข้าไปตรวจกระเป๋า จริงๆน่าจะรีบมาเปิดนะ นักท่องเที่ยวจะได้รีบไปละลายทรัพย์กัน ว่าแล้วเราก็เข้าไปที่เกตกันเลยดีกว่า ร้านอาหารหลังจากผ่าน ตม. เข้ามา ณ เวลาตีสี่ ยังไม่เปิดให้บริการกัน ยกเว้นบางเจ้าอย่าง S&P, McDonale, Fuji และ 7-Eleven ที่เปิดอยู่ แต่ส่วนของการช้อปปิ้งนั้น มันเปิดอยู่ตลอดเวลา ยังกับ 7-Eleven ด้วยความหิวผมเลยต้องจัดแซนวิช S&P อันละ 115 บาท กินเพื่อประทังชีวิต ถ้าถามว่าราคาสูงก็สูงนะ ถือว่าเป็นแซนวิชที่แพงที่สุดตั้งแต่กินมาเลยก็ได้ แต่ก็อันใหญ่สมราคา แล้วก็ทำให้เราอิ่มได้ก็ถือโอเค
ผมงัวเงีย ตื่นมาอีกทีก็เพราะ… แอร์เรียกให้รับใบผ่านเข้าเมืองสิงคโปร์ หรือ immigration form นั่นเอง เอาวะ ไหนๆก็ตื่นแล้ว ลองกรอกดูหน่อยก็แล้วกัน เสร็จแล้วก็งงๆ กับช่องนึง น่าจะเป็นช่อง Last City before Singapore กับช่อง Next City after Singapore ดูในคู่มือเค้าบอกว่า ต้องกรอกชื่อเมืองที่เราขึ้นเครื่องขาไปนั่นก็คือ Bangkok นั่นเอง
ยินดีต้อนรับสู่สิงคโปร์ (Welcome to Singapore)
พอเครื่องลง เราก็รีบวิ่งไปที่ ตม. กันทันทีด้วยความที่ว่ากลัวคนจะเยอะ ต่อพอมาถึง ตม. ขาเข้าจริงๆ คนก็ไม่ได้เยอะมากหรือเพราะช่องให้บริการเยอะก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ทีนี้ก็ได้เวลาตื่นเต้นละ ตอนถึงคิวผม ด้วยความที่พาสปอร์ต เล่มนี้ว่างเปล่า แบบไม่มีตราประทับอะไรเลย เจ้าหน้าที่เค้ามองหน้าแล้วก็ถามชื่อผม แล้วก็เปิดดูทุกหน้าเลย (ตอนนั้นคิดในใจ เค้าจะถามอะไรอีกหรือเปล่าฟระ) หลังจากสบตาได้ไม่นาน จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ฉีกใบผ่านเมืองครึ่งหนึ่ง พร้อมกับประทับตาผ่านเมืองให้ผม แล้วก็กดปุ่ม ดีดผมออกจากประตู ตม. (ปุ่มเปิดประตูเฉยๆครับ) เสร็จแล้วเราก็ไปรับกระเป๋าเดินทางที่โหลดขึ้นเครื่องไว้
คนที่มาเที่ยวสิงคโปร์ ส่วนมากไม่ยอมซื้อโหลดกระเป๋ากัน บางคนรู้เลยว่าหนักเกิน 7 กิโลแน่นอน เอาขึ้นเครื่อง บางคนนี่มีแบกมากกว่าสองใบไปขึ้นเครื่อง ช่องใส่บนเครื่องนี่ต้องยื้อแย่งกันน่าดู ในทริปผม ตอนจะลงเครื่อง ด้วยความที่กระเป๋าพวกนี้มันหนักๆ ทั้งนั้น มีผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง ดึงกระเป๋า ลงมาจากที่เก็บไม่รอด ไปโดนเพื่อนร่วมทริป เจ็บตัวกันอีก ในความเห็นผมนะ โหลดเหอะ สบายใจกว่า ไม่ต้องมายื้อแย่งกันยัดตอนขึ้น แล้วแย่งกันรื้อตอนลงเครื่องอีก
ตามแพลนที่วางไว้ เราจะหาซื้อ Sim Card ราคาถูกที่สนามบิน ที่ดูไว้จะเป็น 15 SGD เล่นอินเตอร์เน็ตอย่างเดียว 100 GB อยู่ได้ 5 วัน แต่เดินหากี่ร้าน ถามกี่ที่ในสนามบิน ก็ไม่มีครับ เจ้าหน้าที่บอกว่า รุ่นนี้ขายหมดแล้ว สถานเดียว มีแต่แบบ 25 – 38 SGD ขึ้นไปแต่ใช้งานได้ 30 วัน (นี่พี่จะให้ผมอยู่เป็นเดือนเลยหรือไง) เราเลยตัดสินใจไม่ซื้อกันดีกว่าครับ เพราะจุดประสงค์หลักๆของเราคือเปิดแผนที่ดูทิศทางครับ และเราก็มีโหลดแผนที่ offline มาแล้ว คิดว่าน่าจะใช้ GPS ได้โดยไม่ต้องมี Internet แล้วตอนเที่ยวคงไม่ได้เล่นอินเตอร์เน็ต เพราะที่วางแผนไว้ เราเที่ยวกันเยอะคงไม่มีเวลาขนาดนั้น ลองเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่นี่ครับ เว็บไซต์ Singtel
ต่อมาเราก็มองหาเคาท์เตอร์ขายการ์ด ezLink กัน ทีแรกว่าจะไปซื้อที่บริเวณ MRT เหมือนที่ Guide Book แนะนำแต่บังเอิญเจอใน Terminal ครับเป็นเคาท์เตอร์เล็กๆ แต่ขายการ์ดเหมือนกัน Card รุ่นใหม่ที่ขายจะเรียกว่า My MRT คุณสมบัติเหมือน ezLink ทุกประการ ที่เพิ่มเติมก็คือเอาไปใช้ที่ 7-Eleven ได้ด้วย และ Food Court บางเจ้าที่รับการชำระเงินด้วย Flash Pay ซึ่งสามารถใช้การ์ดนี้ชำระได้ ราคาการ์ดดังกล่าวอยู่ที่ 12 SGD มีเงินให้ใช้ 7 SGD เหมือน ezLink ครับ ดูรายละเอียดได้ที่นี่ครับ เว็บไซต์ Flash Pay
ปล. 7-Eleven ที่นี่ อย่าจินตนาการว่าเหมือนเมืองไทยนะครับ ของที่วางขายใน 7-Eleven สิงคโปร์น้อยกว่ากันเยอะมาก เมืองไทยของวางกันอุดมสมบูรณ์กว่าเยอะ โดยเฉพาะของกิน ที่ผมเซอไพร์สก็คือ มีข้าวกล่อง CP จากไทย มีน้ำผลไม้จากไทย วางขายอยู่ด้วยนะ
และแล้วก็ได้เวลาเดินทางออกจากสนามบิน เรานั่งรถ Free Train Service จาก Terminal 1 ไปยัง Terminal 2 เพื่อต่อไปยัง MRT พอไปถึง MRT ก็พบว่า คนต่อแถวไปซื้อ ไม่ ezLink ก็ Tourist Pass กันเยอะมาก โชคดีที่เราไปซื้อมาก่อน เราก็เลยกระโดดขึ้นรถไฟได้เลย
ตอนแรกคิดว่าอยู่ว่าจะซื้อ Tourist Pass ดีไหม แต่ลองคำนวณดูแล้ว จากเว็บไซต์นี้ครับว่า ตามแผนการเดินทาง ค่าเดินทางจะเป็นเท่าไร เว็บไซต์ My Transport พอคำนวณคร่าวๆแล้ว พบว่า Tourist Pass น่าจะไม่คุ้ม เพราะส่วนมาก เราจะเที่ยวที่ใกล้ๆกันแล้วเดินเอา และอีกอย่างนึงก็คือ Tourist Pass อยู่ได้แค่ 3 วันก็ต้องเติมเงินเหมือนกัน เราเลยเลือกซื้อเจ้าการ์ด My MRT ที่ดูน่าจะคุ้มกว่า
พอรถไฟมา พวกเราก็ทำใจแล้วว่า ไม่ได้นั่งแน่เลย คนอย่างเยอะ และแล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ยืนไปเลยจนถึงสถานี Tanah Merah เพื่อต่อรถไฟฟ้าเข้าเมืองไปอีกที รถไฟฟ้าที่สิงคโปร์ ยังกะออกแบบไว้ให้ยืน มีตู้ที่ไม่มีที่นั่งด้วยนะเออ เรายืนรวมๆกันตั้งแต่ออกจากสนามบิน ประมาณชั่วโมงนึงได้ จนไปถึงสถานี Dhoby Ghaut และสิ่งที่พบคือสถานี Dhoby Ghaut ดูยิ่งใหญ่ และระยะทางค่อนข้างไกลกว่าจะไปถึงทางออก ประกอบกับหลงทางเข้าไปอีก เดินกันซะไกลเลย หรืออาจจะเป็นเพราะว่าหลงทางก็เป็นได้ เลยทำให้ดูระยะทางไกลไปหมด
พอออกจากสถานีเสร็จ เราก็เริ่มกางแผนที่เลย ทั้งแผนที่กระดาษ และ Offline Google Maps ตอนแรกเปิด Offline Google Maps ขึ้นมา GPS หา Position ตัวเองไม่เจอ ต้องรอค่อนข้างนาน ประมาณ 10 นาที ที่เจอช้าก็เพราะว่า เราไม่มีอินเตอร์เน็ต หรือ Cellular จากโทรศัพท์มือถือ ให้จับสัญญาณช่วยกันเหมือนอยู่เมืองไทย แล้วครั้งสุดท้ายที่จับสัญญาณได้ เราอยู่เมืองไทยด้วย พอมาที่นี่ต้องเริ่ม Scan ใหม่เลย กว่าดาวเทียมจะย้ายจากเมืองไทย มาถึงสิงคโปร์ได้ ก็รอลุ้นซะแทบแย่ ถึงครั้งแรกจะใช้เวลานาน แต่หลังจากหาพิกัด จุดแรกเจอ จุดต่อไปก็ไม่นานแล้วครับ แต่ว่า ต้องใช้ GPS กลางแจ้งนะ ไม่งั้นตึกบัง หาสัญญาณไม่เจออีก จากนั้นเราก็เดินตามแผนที่เรื่อยๆ จนมาถึงโรงแรม ตอน เกือบ 11 โมงแล้ว
เราจองที่พักกันอยู่ที่โรงแรม Fort Canning Lodge ฝั่งตรงข้าม Fort Canning Park ครับ ตอนจองเห็นใกล้รถไฟฟ้าดีครับในแผนที่ แต่พอเดินจริง ก็ประมาณว่า เดินจากสถานนีรถไฟฟ้าสยาม ไปฝั่งตรงข้ามมาบุญครอง ประมาณนั้น พอไปถึงกะว่าจะทำเนียน ขอเค้าเช็คอิน พนักงานคนหนึ่งยอมแล้ว แต่เจ้ากรรมหัวหน้าพนักงานเดินมาบอกไม่ได้ ต้องบ่ายสองเท่านั้น ประเทศสิงคโปร์นี่ กฎก็ต้องเป็นกฎจริงๆเลยทีเดียว เรานี่ทั้งอยากอาบน้ำ ทั้งอยากล้างหน้า ทั้งอยากวางกระเป๋า แต่ก็ยังดีนะที่สามารถฝากกระเป๋าได้ เลยทำให้ตัวเบาขึ้นเยอะเลย แล้วเราก็มุ่งหน้าไปสู่จุดมุ่งหมายถัดไปของเราโดยทันที
Chinatown
จุดมุ่งหมายถัดไปของเราก็คือ Chinatown เพื่อไปซื้อตั๋วเข้าสถานที่ต่างๆที่ Sea Wheel Travel นั่นเอง Sea Wheel Travel เป็นบริษัททัวร์และตัวแทนจำหน่ายตั๋ว ตั้งอยู่ที่ห้าง People Park Center ชั้น 3 ซึ่ออกมาจากสถานี Chinatown ก็เจอเลย แต่จำไม่ได้ว่า ทางออกไหนนะครับ แต่สามารถดูแผนที่ใน MRT แล้วก็ออกมาตามนั้นเลย
ที่ Sea Wheel Travel ก็เจอกับพนักงานขาย เป็นคนไทยครับ พูดกันง่ายแล้วก็ให้คำแนะนำในการท่องเที่ยวได้พอสมควรครับ ราคาของตั๋วที่นี่ๆ รวมๆแล้ว ทำให้ราคาค่าตั๋วทั้งทริป ลดลงไปประมาณ 30% เลยทีเดียว เมื่อเราจบสิ้น ภาระกิจซื้อตั๋วแล้ว เราก็ไปหาอาหารรับประทานกันครับ ซึ่งสถานที่ ที่เราจะไปกิน ก็คือ Maxwell Food Center มีร้าน Tian Tian ข้าวมันไก่ในตำนานอยู่ ซึ่งผมว่าจะไปชิมสักหน่อย เราเลยเริ่มเดินไปที่ Maxwell Food Center ครับ ซึ่ง… เดินไกลมากกกกก จาก People Park Center แต่ด้วยความอยากกินก็เดินไป ระหว่างทางก็ผ่านวัดศรี มาริอัมมันต์ (Sri Mariamman Temple) เป็นวัดฮินดูที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศสิงคโปร์ครับ เราก็ถ่ายรูปกันไป แล้วก็เดินต่อไป
เราเดินผ่านสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิต ย่าน Chinatown อีกที่หนึ่งครับ วัดพระเขี้ยวแก้ว (Buddha Tooth Relic Temple & Museum) วัดนี้ดูอลังการมาก ซึ่งเดี๋ยวเราจะกลับมาแวะที่นี่หลังรับประทานอาหารเรสร็จครับ ในที่สุด เราก็เดินทางมาถึง Maxwell Food Center จนได้ เราเดินหาร้านข้าวมันไก่ Tian Tian ครับ วนหาอยู่นานมาก เดินหาทีละร้านก็แล้ว จนในที่สุดก็เจอ เพราะจริงๆแล้วร้านอยู่ติดกับทางเข้า Maxwell Food Center เลย แต่เราดันเดินเลยมาก่อน เมื่อเราไปถึงก็สั่งเลยครับ ที่ร้านจะมีให้เลือกขนาดของข้าวมันไก่ Small 3.8 SGD, Medium 5 SGD, Large 7 SGD เราสั่ง Medium กันมาก็เยอะมากแล้วครับ ทั้งข้าวทั้งไก่เยอะจริงๆ เหมือนกินที่เมืองไทย 2 จานพร้อมกันเลย ต่างคนต่างสั่งคนละจาน อิ่มกันถ้วนหน้าครับงานนี้
ถ้าพูดถึงรสชาติแล้ว ก็ต้องบอกว่า Social Media มีส่วนช่วยให้ร้านนี้ดังจริงๆ ยอมรับนะครับว่า ไก่นุ่มจริงๆครับ แต่น้ำซอส ไม่อร่อย ข้าวก็ออกจืดๆ น้ำซุปก็ไม่มีให้ ผมให้คะแนนแค่ 5/10 พอ ไม่คุ้มกับการเดินไกลดั้นด้นมากินครับ ผมคิดว่าที่ร้านนี้ดังเพราะมีคนพูดถึงในอินเตอร์เน็ต แล้วก็พูดๆต่อกันไป คนพูดต่อส่วนมากอาจจะไม่ได้ชิมที่อื่นด้วย คนเลยมากันเยอะ เดี๋ยวผมจะต้องหาโอกาสไปลองกินที่อื่นดู ข้องใจมากๆ ว่านี่หรือคือข้าวมันไก่สิงคโปร์ที่อร่อยแล้ว
หลังจากรับประทานกันเสร็จสรรพ เราก็ไปเที่ยววัดพระเขี้ยวแก้วกันต่อเลยครับ วัดแห่งนี้ยิ่งใหญ่อลังการมาก ที่สำคัญ เราสามารถเข้าชม พิพิธภัณฑ์ต่างๆ ได้ฟรีกันเลยทีเดียว เข้ามาถึงชั้นแรกจะเป็นบริเวณสักการะครับ ภายในตัวอาคารวัดห้ามถ่ายภาพครับ เราจึงไม่ควรฝ่าฝืนกฎนี้ เราสักการะกันเสร็จก็ขึ้นลิฟท์ไปชั้นบนสุดเพื่อดูพิพิธภัณฑ์ ในพิพิธภัณฑ์ จะมีของเก่ามากมายมีทั้ง รูปปั้นเจ้าแม่กวนอิม พระพุทธรูปปางต่างๆ รวมไปถึงพระธาตุด้วยครับ ของทุกชิ้น ที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีมาก สมบูรณ์แบบ และมีความสวยงาม แทบจะทุกชิ้นเลยทีเดียว
ที่บริเวณชั้นบนสุด เราสามารถออกไปที่สวนบริเวณดาดฟ้าได้ครับ ที่สวนนี้สามารถถ่ายรูปได้บ้างประปราย ใจกลางจะมีวิหาร ซึ่งจะเป็นที่หมุนวงล้อคำสวดครับ เค้าว่ากันว่าให้หมุนสามรอบเพื่อเป็นศิริมงคลครับ
ต่อมาเราก็ลงมาเรื่อยๆดูพิพิธภัณฑ์ครับ จนมาสะดุดตาที่พิพิธภัณฑ์หุ่นขึ้ผึ้งของ เจ้าอาวาสและพระองค์สำคัญในยุคสมัยต่างๆกัน ในส่วนนี้ จะมีพระไทยอยู่หลายองค์อยู่เช่นเดียวกันครับ ชมพิพิธภัณฑ์กันเสร็จแล้ว เราก็ลงไปรับพลังจากลูกแก้ววิเศษ ที่อยู่ด้านล่าง บริเวณทางออกกัน เพื่อเป็นศิริมงคลแก่ชีวิต
นอกจากวัดพระเขี้ยวแก้วแล้ว เรายังเดินผ่าน Food Street ของ Chinatown ด้วย คล้ายเป็น Food Court กลางแจ้ง ให้คนซื้ออาหารมานั่งรับประทานกันที่โต๊ะไหนก็ได้
หลังจากนั้นเราก็ไป Check-In ที่โรงแรม Fort Canning Lodge กันต่อครับ เป็นเวลาบ่ายสองโมงพอดี ห้องที่นี่สภาพใช้ได้เลยทีเดียวครับ ห้องไม่แคบจนเกินไป กำลังพอดี มีที่วางของ มีกาน้ำร้อน ไดเป่าผม มีตู้เย็น ตามหลักมาตรฐานสากลเลยครับ ห้องน้ำก็สภาพดีครับ ไม่แคบ และไม่สกปรกครับ สิ่งแรกที่เราทำคือ อาบน้ำ และจัดการเก็บกระเป๋าครับ นอกจากนั้น เราก็รองน้ำดื่มไปกินระหว่างทางด้วยครับ รองน้ำประปานี่แหล่ะครับ เพราะว่ากันว่า น้ำประปาที่นี่ดื่มได้ ข้างนอกก็จะไม่มีน้ำเปล่าธรรมดาขายด้วยครับ มีแต่น้ำแร่ กับน้ำอัดลมขายกัน
เมื่อจัดการธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็ขึ้นรถไฟฟ้า จากสถานีใกล้โรงแรมเราคือ Dhoby Ghaut ไปยังสถานี Raffles Place ครับ แผนของเราคือการเดินครับ เดินชมทิวทัศน์รอบอ่าว Marina Bay ครับ
Marina Bay
เราเริ่มจากสถานี Raffles Place เดินออกมาเรียบแม่น้ำสิงคโปร์ ผ่านรูปปั้นริมน้ำอย่างรูปปั้น เด็กกระโดดเล่นน้ำ และสะพานคนเดิน CAVENAGH Bridge ที่เชื่อมระหว่างแม่น้ำสิงคโปร์ ฝั่งโน้นก็จะเป็นรูปปั้นของนายพล Raffle นั่นเอง
เราเดินไปเรื่อยๆ จนถึง Merlion Park ครับ สิ่งที่เซอร์ไพร์สสุดๆก็คือ Merlion ปิด!! เพราะกำลังทำความสะอาดครับ ตอนนั้นในหัวผมมีเครื่องหมาย ???? ขึ้นเต็มไปหมด แผนการของเรารวนเข้าให้แล้ว เพราะว่ามาสิงคโปร์ แล้วจะไม่ถ่ายรูป Merlion เชียวหรือ หลังจากทำใจได้สักพัก จากนั้น เราก็เดินตามแผนเดิมไปก่อน เดินไปเรื่อยๆ ผ่าน The Espanade หรือโดมหนามทุเรียน ที่สร้างเป็นโรงละครแห่งชาติของสิงคโปร์ และเป็นอีกแลนด์มาร์คหนึ่งของ Marina Bay
จากฝั่ง Merlion Park เดินลัดเลาะออกไปเรื่อยๆ เพื่อที่จะข้ามฝั่งไปหา Marina Bay Sands ที่เป็นแลนด์มาร์คอันเลื่องชื่อของสิงคโปร์ เป็น Super Complex ที่ยิ่งใหญ่ มากๆ ในสิงคโปร์
เราเดินไปข้ามสะพานเกลียวคู่ที่ว่ากันว่าสวยงามที่สุดในสิงคโปร์ Helix Bridge เป็นสะพานที่มีแนวคิดการออกแบบมาจาก หยิน-หยาง ของทวีปเอเชีย และมีโครงสร้างคล้ายเกลียวของ DNA ซึ่งสะพานนี้มีความยืดหยุ่นสุงมากครับ ถึงขนาดที่ว่า มีคนขึ้นไปเดินกันเยอะๆนี่สะพานสั่นสะท้านกันเลยทีเดียว แต่สะพานนี้ก็แข็งแรงมากครับ ให้คนเดินอย่างเดียวไม่ให้รถวิ่ง
เราเดินข้ามมาแล้วก็เจอกับ The Art Science Museum กันก่อนครับ เป็นอาคารที่มีรูปร่างลักษณะเป็นกล้วยหอม (หรือฝ่ามือ) นั่นแหล่ะครับ ภายในเป็นพิพิธภัณฑ์ สามารถเข้าไปชมได้ แต่เสียเงินนะ คณะเราไม่ได้เข้ากันครับ
อาคารถัดมาเป็น Marina Bay Sands พอเราเข้าไปถึงด้านในก็พบว่า โอ้โหนี่มันหรูหราอลังการมาก สมกับที่เป็น Super Complex ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสิงคโปร์ ที่รวมเอาทั้ง คาสิโน โรงแรม โรงละคร ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า เอามาดูดเงินนักท่องเที่ยว ไว้ด้วยกัน อีกทั้งด้านหลัง ยังสร้างเป็นสวน Garden by the Bay เป็นอีกแลนด์มาร์คหนึ่ง ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว เรากำลังจะไปชม เจ้า Garden by the Bay นี่แหล่ะครับ ว่าแล้วเราก็เดินหาทางเข้าสวน Garden by the Bay กัน ทางเข้าจริงๆสามารถขึ้นลิฟท์ จากด้านหลัง Marina Bay Sand ได้เลย ลองถามประชาสัมพันธ์ หรือพนักงานแถวนั้นดูได้ครับ
เมื่อเราออกจากลิฟท์ชั้น 6 ที่ขึ้นมาสู่ทางเดินเข้า Garden by The Bay เราจะมาสู่สะพานอันหนึ่งที่เห็น OCBC Garden Rapsody ชัดเจนมาก ซึ่งเดี๋ยวเราจะมาดูการแสดงที่จุดนี้ สะพานนี้เรียกว่า Dragon Fly Bridge ครับผม หรือสะพานแมงปอนั่นเอง
ภายใน Garden by The Bay จะเป็นการจัดสวนแบบต่างๆ อย่างเช่นสวนจีน สวนอินเดีย แต่จุดมุ่งหมายแรกที่เราจะไปก็คือ 2 โดมยักษ์ ที่เราซื้อตั๋วเข้าชมมา ก็คือ Could Forest Dome และ Flower Dome เราเลือกไปโดมใหญ่สุดก่อนครับ นั่นก็คือ Could Forest Dome
Cloud Forest Dome
เข้าไปนี่ถึงกับอึ้งครับ เพราะเค้าเล่นยก ภูเขาและน้ำตกมาอยู่ในโดม อลังการมากเกินกว่าจะจินตนาการ เหมือนเข้าไปอยู่ใน lost world ยังไงยังงั้น แต่เสียดายที่ไม่มีสรรพสัตว์ แต่เค้าก็จะนำรูปปั้นมังกรแกะสลักมาวางเป็นระยะ แล้วก็มีรูปแกะสลักสัตว์ต่างๆ
ในแต่ละโซน นอกจากนั้นที่นี่ยังมีทางสำหรับเดินชม ทัศนียภาพรอบภูเขาอีกด้วย ทางเดินขึ้นไปเกือบถึงจุดสูงสุดของยอดภูเขา ทางเดินชมนี้ ผมว่าดีมากเลยครับ ทำให้เราดูใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้น ถึงแม้จะเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นก็ตาม หลังจากลงมาจากทางเดินรอบภูเขา ก็จะมีห้องฉายหนังเรื่องเกี่ยวกับธรรมชาติ และมีนิทรรศการเล็กๆให้ชม ต้องยอมครับว่า การมาที่นี่คุ้มค่าจริงๆ และผมก็เป็นคนชอบธรรมชาติด้วย
Flower Dome
Flower Dome เป็นการประดับต้นไม้และดอกไม้เป็นสีสัน ตอนที่เราไปยังเป็น Theme Christmas อยู่เลย ก็ดูดีไปอีกแบบ แต่ไม่ได้อลังการอะไรบ้าง เน้นให้หนุ่มสาวไปถ่ายรูปกันมากกว่า ภายในโดมมีการรักษาอุณหภูมิและความชื้นให้คงที่เหมือนกันกับ Cloud Forest Dome พื้นที่ใน Flower Dome ก็กว้างขวางเช่นกัน แต่ผมว่ามันขาดความอลังการไปนิดนึง แต่ถ้าไปถ่ายรูปก็พอโอเคอยู่
สรุปแล้ว สำหรับสองโดมนี้ ผมชอบ Cloud Forest Dome มากกว่า เพราะยิ่งใหญ่ อลังการ และดูเป็นธรรมชาติมากกว่า ถ้าให้เลือกมาดูได้โดมเดียว ผมคงเลือก Cloud Forest Dome อย่างไม่ลังเล อ้อ แล้วอีกอย่าง ผมไม่ใช่นักเซลฟี่ เลยไม่ค่อยสนใจถ่ายรูปตัวเองสักเท่าไร แต่ถ้าคิดว่าชอบถ่ายเซลฟี่แล้วล่ะก็ ไป Flower Dome ดีกว่า
Super Tree
หลังจากเราดู Dome ทั้งสองเสร็จ แน่นอนว่าเราจะต้องมุ่งหน้าไปสู่จุดสำคัญอีกจุดหนึ่ง นั่นก็คือ Super Tree นั่นเอง ที่นั่นมี OCBC Way อยู่ เรามุ่งตรงไปเพื่อที่จะขึ้นไปเดินบน OCBC Way ที่เกาะอยู่ระหว่าง Super Tree ค่าผ่านทางที่นี่ต้องเสียเพิ่มอีก 5 SGD สำหรับผู้ใหญ เราขึ้นไปเดินก็รู้สึกเสียวๆอยู่เหมือนกันครับ เพราะว่า… สะพานถูกยึดด้วยลวดสลิงทั้งหมด ไม่มีโลหะหรือว่าปูนเป็นเสาเลย มันเลยมีความยืดหยุ่นสูงมากกกก สามารถแกว่งได้บ้าง ยิ่งตอนฝรั่งตัวโตๆ เดินไปเดินมานี่ OCBC Way ถึงกับสั่นเลยทีเดียว ยิ่งเด็กๆชอบขึ้นไปขย่มๆกัน ไอ้เราก็เสียวเหลือเกิน ต้องยืนนิ่งๆ เลยทีเดียว ที่ตัว Super Tree ต้นกลาง มีภัตตาคารด้านบนด้วยนะครับ แบบว่าเป็นบรรยากาศสุดโรแมนติก ทานข้าวแบบคู่รักบน Super Tree แต่ต้องซื้อตั๋วพิเศษขึ้นไปอีกที เราเลยไม่ได้ขึ้นไปกัน
หลังจากที่เราลงมาจาก OCBC Way แล้ว เราก็นั่งพักผ่อนก่อนครับ เหนื่อยมาทั้งวัน ตั้งแต่สนามบินยังไม่ได้นอนด้วย จากนั้นรอเวลาให้ฟ้าใกล้มืดค่อยเดินกลับไปยัง Dragon Fly Bridge เพื่อรอชม การแสดงของ OCBC Garden Rapsody ตอนที่ไปถึงก็เกือบทุ่มนึงแล้ว มีคนมารอดูอยู่เยอะพอสมควรเลยทีเดียว จังหว่ะนี้ก็หาที่นั่งดีๆ ริมๆขอบเพื่อรอถ่ายรูป Super Tree เรืองแสง
ณ ประมาณเวลา 19.40 การแสดงถึงจะเริ่ม ที่สิงคโปร์ ฟ้ามืดค่อนข้างช้าครับ กว่าจะมืดก็เกือบสองทุ่มเข้าไปแล้ว การแสดงเป็นการแสดงดนตรี ประกอบกับแสงสีบน Super Tree การเต้นเป็นจังหวะของไฟ และการสลับเปลี่ยนสีของไฟ ประกอบกับเสียงเพลงทำได้อย่างลงตัว แต่เสียดายที่บริเวณ Dragonfly Bridge นั้น จะไม่ค่อยจะได้ยินเสียงดนตรีประกอบสักเท่าไร ถ้าได้ยินเสียงดนตรีดังกว่านี้ ก็คงจะอินกว่านี้ การแสดงนี้ถือว่า เป็นการแสดงที่ดีทีเดียว แสงสี ยิ่งใหญ่อลังการสมกับที่รอคอย ฝรั่ง หรือญี่ปุ่นที่นั่งอยู่บริเวณนั้น พูดเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า Wonderful นับเป็นการแสดงฟรีอันหนึ่งที่ไม่ควรพลาด
Fountain of Wealth
หลังจากที่เราดูการแสดง OCBC Garden Rapsody จบแล้ว เราก็ตรงไปขึ้นรถไฟฟ้าที่สถานี Bayfront ที่อยู่ตรง Marina Bay Sands เพื่อไปลง สถานี Promenade ต่อ จากนั้นเราก็เดินไป Suntec Tower ที่ตรงกลางมีน้ำพุที่เรียกว่า Fountain of Wealth ว่ากันว่าสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ ที่เรียกได้ว่าเป็นฮวงจุ้ยที่ดีที่สุดในสิงคโปร์ก็ว่าได้ ล้อมรอบด้วยตึก Suntec อันสูงใหญ่สี่ตึก และตึกเล็กหนึ่งตึก ประกอบกันเป็นรูปฝ่ามือที่มีน้ำพุอยู่ตรงกลาง เรียกว่าเป็นยุทธศาสตร์แห่งความร่ำรวยกันเลยทีเดียว
ตอนไปถึงทาง Fountain of Wealth กำลังเปิดการแสดงแสงสีอยู่พอดีเลย ทำให้เราได้รับพลังของ Fountain of Wealth อย่างเหลือเฟือเลยทีเดียว หวังว่ากลับไปเมืองไทยแล้วจะรวยขึ้นนะ
จากนั้นเราก็ไปกินข้าวกันต่อที่ Food Republic ตรงใต้ตึก Suntec ผมเลือกรับประทาน Fish Soup เป็นเส้นขนมจีนต้มกับปลา แล้วก็ใส่นม แปลกดีแต่ก็อร่อย รสชาติเหมือนซุปนม แต่มีรสชาติของพริกไทยและความเค็มที่มาจากซีอิ๊ว หลังจากกินของคาวเสร็จแล้ว ก็เหลือบไปเห็น ร้าน Toastbox เลยรับประทานของหวานกันต่อ ของหวานที่เป็น Signature ในตำนาน อย่าง Kaya Toast นั่นเอง ราคาคู่ละ 1.8 SGD สั่งรสสังขยากับเนยถั่วมา ก็เหมือนขนมปังปิ้งทาสังขยาบ้านเราแหล่ะครับ แต่ขนมปังก็มีสองแบบ คือแบบหนานุ่ม และบางกรอบสั่งได้เลย เนื้อสังขยาที่นี่ไม่หวานมากนัก ทำให้สามารถรับประทานได้หมดทั้งอัน
กิ่นอิ่มแล้วก็ได้เวลาเดินทางกลับสถานี Dhoby Ghaut กันต่อไป วันนี้รู้สึกว่าเราเดินกันร่วม 10 กิโลเมตรได้ เพื่อเดินไปท่องเที่ยวสถานที่ต่างๆ แต่ก็สนุกและได้ประสบการณ์ใหม่ๆมากมาย ถึงแม้เท้าจะพอง ถึงกับต้องปิดพลาสเตอร์ แต่พรุ่งนี้เราก็จะยังท่องเที่ยวต่อไปให้สุดเหวี่ยงในแบบ Extreme !!
ปล. สิ่งที่ควรเตรียมไปอย่างยิ่งคือ พลาสเตอร์ กรรไกตัดเล็บ และยาเบตาดีน ในกรณีเท้าพองต้องตัดหนังออก รองเท้าก็ควรจะใส่นุ่มและสบาย
เที่ยวสิงคโปร์ ซีรีย์นี้มีทั้งหมด 4 ตอนนะครับ เขียนจบเรียบร้อยแล้วตาม Link ด้านล่างนี้เลยครับ
[…] เที่ยวสิงคโปร์ Day1 ~ Welcome to Singapore – Wonder Super Trips พูดว่า: มีนาคม 22, 2016 ที่ 12:33 pm […]
[…] เที่ยวสิงคโปร์ Day1 ~ Welcome to Singapore […]
[…] Day1 ~ Welcome to Singapore […]